ราคา "ค่า"ของคน | Thai




             ราคา "ค่า" ของคน

วันนี้จะเอ่ยถึงคำว่าราคา  ราคามีหลายอย่างฟังให้ดีจะมีปัญญา


ราคาที่หนึ่ง คือ ราคาของบุคคล

คนที่จะมีราคาได้ ก็ ต้ อ ง มี ร า ค า ที่ ใจ 
ใจอะไร ใจใส ใจสะอาด
ใจเก็บกวาดจากปฎิกูลมลทิน อันนี้มีราคามาก
ส่วนราคาของคนจริงๆนั้นซื้อ-ขายไม่ได้ เพราะราคาจริงๆอยู่ที่ตัวตน
ค้น ค้น ค้น จะได้รู้จักตัวเอง จะได้เป็นผู้ไม่ประมาทจะได้ไม่ขาดสติ จะได้เป็นผู้อยู่รู้พร้อมถึงตัวตนจะได้ไม่จนใจ จะได้ไม่ตกในอบายของตัวอันนี้คือราคาแต่ไม่ใช่ราคาวัว,ราคาควาย คนเราโดยมากแล้วจะมองแต่ราคาตนเอง,เห็นตัวเอง,มองตัวเองเป็นราคาอันสูงสุด


แ ท้ ที่ จ ริ ง แล้วไม่ใช่เข้าใจผิดคิดเสียใหม่ ราคาจริงๆของตนเองนั้น
อยู่ที่การรู้จักละ รู้จักวาง รู้จักมองให้ถูกต้อง
ครองอยู่ในพระธรรมคำสั่งสอน อันนี้มีราคามีค่ายิ่ง

คนไม่มีราคา เพราะว่าตอนตายแล้วซื้อ-ขายไม่ได้นั่นเอง ไม่เหมือนวัว-ควาย ไม่เหมือนไก่,เป็ด,ปลา ไม่ใช่ ไม่เหมือนของพวกนั้น อันนั้นเป็นอาหารที่แขวนขายมีมูลค่าซื้อมารับประทานแสนจะโอชะ แต่กายของมนุษย์หรือกายของคน ตายไปแล้วเอาไปทำอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่มีมูลค่าแขวนขาย ในโลกนี้คนตายเกลื่อนกลาด


          สิ่งที่ได้ก็แค่กระดูกที่ผูกอยู่ในดินสิ้นไปก็คือสังขาร


เมื่อมีชีวิตที่เดินได้ตายังแจ้ง หูยังไม่หนวกขายังเดินได้  รู้จักทำมาหากินเลี้ยงชีพ ก็ต้องทำตัวให้มีค่า ค่าอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่การประพฤติ ปฎิบัติตนให้เป็นคนดี เป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่ดีของพ่อ-แม่ เป็นน้าก็ต้องเป็นน้าที่ดี เป็นปู่ย่าก็ควรเป็นปู่ย่าที่ควรเคารพแก่ลูกหลาน อันนี้มีล่ะค่า ส่วนเรื่องตายใครก็หนีไม่ได้ ทุกชีวิตมีการตายทั้งนั้น


ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็เอ่ยมานานมาก ทุกยุคทุกสมัย ถ้านับเป็นบุคคลหรือนับเป็นชื่อก็หลายล้านชีวิตทีเดียว แต่ทุกคนไม่เคยเฉลียวใจ เพราะว่าไปฝักใฝ่ในราคาที่ไม่ถูกต้อง ไปมองผิดคิดไปมองค่าสิ่งของ อย่างเช่นมองรถยนต์ราคาแพงๆ มองบ้านที่สร้างขึ้นเองด้วยคอนกรีตราคาแพงๆ และมองเครื่องประดับหรูๆและแพงๆ อันนี้แหละทุกคนหลงผิดคิดว่าเป็นค่ามหาศาล แ ท้ จ ริ งไ ม่ ใ ช่ อยากให้ทุกคนคิดกันเสียใหม่ ราคาที่ถูกต้องจริงๆอยู่ที่การมองและวิเคราะห์ และก็มองตัวเองให้ดีๆ ถ้าทำดีแล้วมีราคายิ่ง


ข้อ๑ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง
ข้อ๒ ไม่เป็นนักเลงให้เขาไล่ยิง
ข้อ ๓ ไม่วิ่งตามกิเลส,ตัณหาตัว ที่ตัวอยากได้ อันนี้ชีวิตก็มีค่าแล้ว เพราะการเกิดกายจากท้องจากครรภ์บิดา-มารดา เมื่อเกิดมามีราคาแล้ว


แต่ราคาจริงๆอยู่ที่การหยิ่งในกิเลส   เพราะราคาจริงๆ อยู่ที่การละตัดปฎิกูล      ตัดเหตุที่ไ ม่ ถู ก ต้ อ ง อ อ ก 


มองให้ลึกและศึกษาดูจะได้รู้จริง ว่าทุกสิ่งนั้นมันเป็นจริงหรือไม่ 
เพราะราคาของชีวิตจริงๆ เมื่อตอนตายไม่ได้แขวนขายเหมือน หมู,เห็ด,เป็ด,ไก่ มันขายไม่ได้


เพราะฉะนั้นอย่ามัวหลงมักง่ายว่าตัวนั้นมีค่ายิ่ง อย่ามัวหลงผิดคิดให้ดีๆ เพราะการเป็นผู้ที่หลงผิดคิดไม่ถูกต้อง อันนี้จะเป็นผู้ที่ครองอยู่ในความทุกข์แล้วก็หมองเศร้า ครองอยู่แต่ในความเห็นแก่ตัว การเป็นผู้เห็นแก่ตัวไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เห็นแก่ตัวเองแต่ไม่ได้มองเห็นบุคคลอื่นเห็นแก่ตัวไม่ได้เห็นแต่ส่วนรวม อันนี้ถือว่าผิดมากเพราะว่าคนโดยมากเห็นแก่ตัวเสียมากกว่า ทั้งที่ตนเองนั้นไม่ได้มองหลักความจริง
                        "เราจะหามตัวเองเข้าโลงก็ไม่ได้ "

มองให้ดีๆคิดให้แน่ว่าจริงหรือไม่ เมื่อกายทั้ง๔ ส ล า ย ไ ป ร่างกายเราก็ตายตามถามใครสักคนซิว่า มีใครตอบได้ว่า ตัวเองจะหามตัวเองเข้าโลงได้ไหม๊

แท้ที่จริงก็ต้องบุคคลอื่นนั่นแหละหามเข้าโลงอย่ามัวหลงอยู่ในกายอันนี้เลย คิดให้ดี แกะให้ออกลอกให้ได้ กายของเราตัวของเราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะตัวของเราไม่สามารถเอาตัวเองไปอยู่ในโลงได้ ยกเว้นชาวบ้านและญาติพี่น้องจะเป็นผู้หามเราลงในโลง

เพราะฉะนั้นอย่าเก่งกว่าคำว่าโลงเลย เพราะชีวิตเกิดมาก็ไม่ใหญ่กว่าคำว่าโลงหรอก 
เพราะกายของเราแค่วากับศอก บอกให้ดี แล้วลองมองให้ดีว่าจริงหรือไม่ 


               ลองวัดดูร่างกายของเรายาวแค่วากับศอก
                 ตอกด้วยคำว่าหนาแค่หนึ่งคืบ
 สืบสาวเล่ากันมา จะจริงหรือไม่ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็เอ่ย


เธอทั้งหลายอย่ามัวกอดอยู่แต่ในความโง่ โชว์แต่ความอวดดีหนีไม่พ้นก็ต้องโดนกิเลสตัด วัดให้ถูก วัดที่ไหน วัดที่ใจ จะไปวัดก็ต้องวัดที่ใจนั้นแหละ จะอยู่ที่ไหนก็วัดได้ ก็วัดที่ใจนั่นแหล่ะ

วัดดูว่าใจวันนี้มีความร้อนเท่าไหร่แล้ว มีความมักมากเท่าไหร่แล้ว
มีกิเลสหนาเท่าไหร่แล้ว อันนี้ต้องแยกแยะด้วย


แต่ถ้ามองแล้วคนโดยมาก มองไม่เห็นซึ่งตนเอง แต่ไปจับผิดซึ่งผู้อื่น ไปชื่นชมสมบัติของบุคคล อันนี้ผิดคิดกันเสียใหม่ สิ่งนั้นเขาเป็นผู้หามาได้ เราจะมัวไปชื่นชมของเขาอยู่ทำไม สิ่งนั้นใครอยากได้ก็ต้องทำเอา ความดีก็เหมือนกันผู้ใดอยากได้ความดีก็จงทำเถิด


เ พ ร า ะ ความดีหรือความชั่วไม่ได้แขวนขายในท้องตลาด


ใครอยากได้ก็อย่าขาดสติ ก็ต้องทำเอง ทำให้ถูกต้องจากชั่วก็ต้องหันมาทำความดี จากดีแล้วก็ยิ่งทำดีขึ้นไป ก็ยิ่งได้กำไรนั่นคือไม่ขาดทุน เกิดมาไม่เสียค่าที่ได้เกิด เกิดมามีราคายิ่ง เพราะคนเรามีราคาได้ก็ต้องรู้จักค่าของชีวิต ค่าของตนเองอยู่ที่ไหน

ค่าของตัวเองอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจนั่นแหละ แกะให้ดี แล้วก็จะมีปัญญา


ส่ ว น ร่ า ง ก า ยพ่อแม่เป็นผู้ให้มา ส่วนจิตใจนั้นต้องเดินหาด้วยตัวเอง ต้องศึกษาต้องปฏิบัติ ต้องทำเอง ไม่มีใครทำให้ จะทำดีหรือทำชั่ว ก็ต้องทำเอง ก็เปรียบเสมือนเหมือนที่เรากินอิ่ม ถ้าไม่ขับถ่ายออกมามันก็เป็นทุกข์เช่นเดียวกัน อันนี้ คิดให้ดี ๆ ชี้แจงให้ถูกต้อง ก็ไม่ครองอยู่ในความทุกข์ สุขก็เกิด ไม่โศกเศร้า เพราะมันไม่ได้เขลาไปตามความมืดมน ค้นเถิดจะได้เป็นจริงหญิง-ชายเอ๋ย

ต่อไปคงจะเอ่ยถึงธรรมชาติใต้ท้องพิภพ คือ ใ ต้ ท้ อ ง ท ะ เ ล นั้นเอง


ใต้ท้องทะเลก็มีธรรมชาติสัตว์ที่มีชีวิตมากมายมหาศาล ในมหาสมุทรแอตแลนติกหรือใช้คำว่ามหาสมุทรทั่วขั้วโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมหมดเลย ม่ว่าจะอยู่โลกเหนือโลกใต้ หรือจะอยู่โลกไหนก็แล้วแต่ ในคำว่าโลกใบนี้ก็มีสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่อยู่ด้วยกัน มันอาศัยกันอยู่ในธรรมชาติของมัน ชีวิตมันอยู่ใต้มหาสมุทรก็สุดจะมีความสุข มันฉลาดกว่าพวกเราเสียอีก แต่พวกเราต่างหากที่เป็นผู้ไม่มีสุข.. เพราะว่าไปกวนให้เขาเป็นทุกข์


อย่างเช่นปะการังอยู่ แล้วก็สาหร่ายอยู่ใต้ท้องทะเล ใต้แม่น้ำ ใต้พิภพของมหาสมุทร พวกเราที่เป็นคนก็ไปเบียดเบียนเขา ไปเอาเขามาทำลาย โดยไม่ได้นึกถึงกายเขา เขาก็มีชีวิตเหมือน ๆ กับเรา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ อย่างเช่น ฉลาม โลมา อย่างนี้เป็นต้น คนจิตใจนั้นใหญ่มหาศาล เพราะฉะนั้นทำไมไม่ตัดตัวเองออก บอกให้รู้ พวกเธอทั้งหลายหญิงชายเอ๋ยล้วนแต่มีความฉลาด และ มีปฏิภาณสูงอันยิ่ง ไม่ยอมสละร่างกาย จิตใจ ในการอยากได้นั้นออก


เพราะทุกคนมัวตามหลอกซึ่งตัวเอง หลอกอะไรหลอกได้ โลกนี้ยกเว้นหลอกตัวเองไม่ได้
เหมือนเรากระพริบตาวันหนึ่งกระพริบตาสักกี่ครั้ง ทุกคนเคยพิจารณาบ้างกันหรือเปล่า


แต่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่! เพราะว่าทุกคนมัวแต่กระพริบตามองหาของมีค่าที่อยู่ในข้างนอก โดยไม่ได้มองซึ่งตัวเอง อันนี้มองไปแล้วน่าสังเวช ฝูงปลาที่มันหากินอยู่ เปรียบเสมือนว่าปลาเล็กกินปลาใหญ่ มันมีอยู่แล้วใต้ท้องทะเล ฝูงปลาเก่า มันก็คละเคล้ากันอยู่ มันก็พอ ๆกับ พวกเราที่อยู่บนผืนแผ่นดิน ส่วนฝูงปลาเต่าเขาเหล่านั้นก็อยู่ใต้ท้องทะเล ฝูงฉลาม โลมา ทุกอย่างมันแหวกว่ายของมันอยู่แล้ว

มันก็เช่นเดียวกับพวกเรา ต่างคนต่างชีวิต ความคิดแตกต่างกันไป สัตว์ใต้ท้องทะเลมันก็มีชีวิตของมัน แหวกว่ายหากินเลี้ยงชีพของมัน ส่วนเราอยู่บนบก ก็เช่นเดียวกันก็ต่างคนก็ต่างหา หาอย่างไรชีวิตนี้ถึงจะมีค่ายิ่ง ก็ต้องหาสิ่งที่มันถูกต้อง มองให้ลึก ๆ ตรึกตรองให้ถ่องแท้ จะได้ไม่แพ้แก่ตัว จะได้ไม่ตกลงไปในอบายที่มันกลั้วอยู่

ถ้าเปรียบเสมือนงากับถั่ว เอาไปคั่วเข้ากัน ฉันขอถามว่า อะไรสุกก่อน มองให้ดี ๆ จะมีปัญญา ฟังให้ดี ๆ จะมีปัญญา ก็คือว่างาต้องสุกหรือว่าไหม้ก่อนเป็นแน่แท้ ส่วนถั่วนั้นยังเพราะเนื่องจากว่าเมล็ดมันใหญ่กว่าเมล็ดงา ถั่วกับงาจะสุกพร้อมกันก็หาไม่

ก็เปรียบเสมือนจิตใจของฝูงมนุษย์หรือปุถุชนนั้นเอง ผู้ที่เป็นเถระ หรือเป็นที่ผู้รู้ทั้งหลาย ได้บรรยายมาทุกยุคทุกสมัยไม่รู้กี่พันปี ไม่รู้กี่ล้าน ๆ ครั้ง ไม่รู้กี่ล้าน ๆ ปี มาแล้ว ให้ปุถุชนคนรุ่นหลังได้จำเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครจำ ยิ่งยุคปัจจุบันนี้แล้ว


ใช้คำว่ายุคโลกาวิวัฒน์ ขัดไปเสียหมด
อย่างบ้านเมืองก็ขัดแออัด รถก็ขัดแออัด ตามท้องถนนก็แออัดไปหมด

ตรงกันข้าม ธรรมชาติ เ ริ่ ม จ ะ ห ม ด ไ ป เศษเหล็กเริ่มจะมากขึ้น ลองคิดดูให้ดีจริงหรือไม่ จะถามใครก็ต้องถามตัวเอง นั่นแหละ แกะดูให้ดีๆ ทุกวันนี้คน ๆ หนึ่งใช้เท่าไหร่ อย่างเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ คนหนึ่งนั้นใช้เสื้อผ้าหลายหมื่นชิ้น ควรถวิลพิจารณาให้ดี ๆ ว่า แท้ที่จริงเสื้อผ้านั้น เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน ถ้าทุกคนมีเสื้อผ้าถึง ๓๖๕ ชิ้น คิดว่ามากเกินไป เพราะว่าใส่วันหนึ่งนั้นซักได้ก็คือเสื้อผ้า เสื้อผ้าตัวหนึ่งไม่ใช่ใส่วันเดียวแล้วขาดไม่ใช่ คิดให้ดี ๆ แต่เพราะความมักมาก อยากมาก ก็เลยอันนี้ไม่พอ บางคนถึงกับเปลี่ยนเสื้อผ้าวันละหลาย ๆ ชุด แต่งกายวันละหลาย ๆ เที่ยว ให้เฉลียวใจ


โถ..จะแต่งทำไมนักหนา ค่ามันอยู่ตรงไหน มันอยู่ที่ใจต่างหาก อันนี้เป็นเรื่องจริง
หญิง-ชายถามให้ดี พิจารณาให้ถูกต้องว่าใช่หรือไม่


บางคนหลงเสื้อผ้าราคาเป็นหมื่นเป็นแสน
โถ..เอามาแขวนในร่างกายอันเน่า ๆ นี้


โดยไม่ได้มองลืมไปว่าร่างกายนี้มันเป็นสิ่งที่เน่าเปื่อย แล้วก็ผุพัง หาค่าไม่ได้ เมื่อถึงตอนตายหาราคาอะไรไม่ได้เลย สู้กับหมูไก่ที่ตายยังมีค่าราคาขาย เอามาทำอาหาร เอามาผัดใส่ผัก ยังจะอร่อยกว่า อันนี้มีค่า
                 "แต่คนเราตายไปแล้ว หาค่าไม่ได้ "


อย่าว่ายังไงเลย สามวันก็เหม็นจะตายอยู่แล้ว ถ้าไม่มียาฉีดป้องกันความเหม็นเน่า ก็อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ฟังให้ดี ๆ ชีวิตของพวกเรามันไม่มีราคา ไม่มีมูลค่าเลย คิดให้ดี

เพราะทุกคนอย่ามัวแต่จนอยู่ในทรัพย์
อย่าอับปัญญา ค้นหาจะได้รู้ว่า ราคาอยู่ที่ไหน


แต่ราคาจริง ๆ มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การปฏิบัติต่างหาก การเป็นผู้พูดมากก็เหมือนกัน ถ้าพูดในการจัดสรรให้ถูกต้อง ก็ไม่หมองเศร้า แต่ถ้าพูดมัวแต่เอาปรุงแต่ง สิ่งนั้นสิ่งนี้ก็เศร้าเป็นแน่แท้ ปรุงจนยุ่งกันใหญ่ไปไม่ถูกทาง อันนี้ก็เห็นมาแล้ว หลาย ๆ ครั้ง คนหมู่มากมักปรุงก่อน มักคิดก่อน ไม่ทำก่อนแล้วค่อยคิด แต่ไปคิดปรุงแต่งนั้นเสียก่อน เหมือนขับรถเคลื่อนขับไป ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ท้อเสียแล้ว รถต้องกินอะไร ฟังให้ดี

เศษเหล็กอันนี้ฟังให้ดี จะมีปัญญา เศษเหล็กอันนี้ที่มันกิน ก็คือ น้ำมัน น้ำมันได้มาจากไหน ได้มาจากเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงได้มาจากไหน ได้มาจากใต้มหาสมุทรที่ขุดเจาะรูหามันขึ้นมา อันนี้คนเก่งมาก      แต่ก็ไม่ไปเก่งกว่าความเป็นธรรมชาติ คือ การตาย


ค ว า ม ต า ย ไม่มีแขวนขายในท้องตลาด ฟังแล้วจะได้ไม่ต้องขาดสติ ถามตัวเองว่าจริงหรือไม่,ไม่ต้องไปถามคนอื่น เพราะเกิดมาจริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องไปถามคนอื่นเลย ไม่ต้องไปดูที่อื่นให้ดูตัวเอง ดูว่าตัวนั้นต้องการอะไรมากที่สุด

แต่คน ณ. ปัจจุบันนี้สิ่งที่เขาต้องการ คืออะไรรู้ไหม๊ จะขยายความนั้นให้ฟัง สิ่งที่เขาต้องการ”เหมือนผู้ชายอยากได้ผู้หญิงที่แสนสวยรวยในทรัพย์” ส่วนผู้หญิงก็อยาก
ได้”ผู้ชายที่แสนหล่อห่อไปด้วยทรัพย์แต่ก็อับซึ่งปัญญา” ส่วนสิ่งที่ตามมาก็ได้เป็นครอบครัว ตัวตนก็ตามมาก็คือลูก ที่ผูกไว้ในร่างกาย อันนี้สำคัญในยุคปัจจุบัน หลงไปในสิ่งนั้นสิ่งนี้


อันนี้ไม่ว่าหญิง-ชายมันเป็นกายสมมติกันอยู่แล้ว
สัตว์ชนิดใดก็มีคำว่าหญิงกะชาย


สัตว์โลกใบนี้มันมีอยู่สองเพศเท่านั้น ก็มีเพศหญิงกับเพศชาย เราเป็นคนก็เปรียบเสมือนสัตว์ชนิดหนึ่งเหมือนกัน มี กิน เกียรติ์ กาม เสพเหมือนกันกับสัตว์เดรฉาน
แต่เผลอ ๆ อาจจะเป็นคนเพียงร่างกาย ใจอาจเป็นสัตว์เดรฉานก็ได้ อันนี้ไม่ได้ว่าใคร แต่ถ้าใครรู้จักตรึกตรอง มองให้ถูกต้อง ก็จะเป็นอันดีมาก


เพราะไม่ได้ว่าใคร เกิดมาแล้วมันก็ต้อง กิน เกียรติ์ กาม อยู่ทุกผู้ทุกนามกันอยู่แล้ว ก า ม อ ะ ไ ร เ ล่ า กามราคะ โทสะ โมหะ กามอยากกิน อยากเกียรติ์ อยากได้เยอะ ๆ เลอะเทอะกันไปทั้งโลก อันนี้สำคัญมาก


เพราะมวลมนุษย์ไม่ได้คิดว่าอนาคตพรุ่งนี้ไปไม่ถึง
ดึงไม่ติด.. คิดไม่เป็น.. เว้นไม่ได้.. ชีวิตก็เลยไร้ซึ่งความหมาย


ทุกคนใช้จ่ายของที่อยู่บนโลกใบนี้มากเกินไป มากจนอะไร ๆ มันก็สายเกือบจะเกินแก้ ใกล้จะแย่เต็มที คิดให้ดี ถ้าไม่ใช่ ลองไปวิเคราะห์ดู ว่าใช่หรือไม่

มองให้ถูก ผูกให้เป็น เว้นให้ได้ เราทั้งหลายที่อยู่บนมนุษย์บนโลกใบนี้ทุกคน ก็คงจะมีความสุข ถ้าอยู่กันแบบไม่เห็นแก่ตัว อยู่กันแบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เราก็ควรช่วยกันแก้ไข ก็จะได้สิ่งที่มาที่ถูกต้อง บางคนมองเห็นทรัพย์ของคนอื่นแล้วตาโต อยากได้ของเขามาเป็นซึ่งของตัว อันนี้ผิด เขาหามาได้สิทธิคือของเขา เราต่างหากที่เป็นคนโง่ไปโอ้อวดทรัพย์ของบุคคลอื่น ไป มั ว ยื น ม อ ง แ ต่ ข อ ง เ ข า

 ลืมมองซึ่งตัวเอง ในที่สุดก็เอามาปรุงแต่ง แยกไม่ออก บอกไม่ถูก ในที่สุด


ก็หดหู่ กู่ขาน ไปตามกาลเวลาของเขา อันนั้นเขาหามาได้ แต่สิ่งนี้จงจำไว้เสมอว่า ในที่สุดเขาก็หยุดไม่ได้ เมื่อร่างกายเขาจากไปทรัพย์อันนั้นอาจจะหายนะไปกับตัวเขาก็ได้ ถ้าลูกหลานรุ่นหลังไม่สามารถที่จะดูแลได้ ทรัพย์อันนั้นอาจจะพังทลายไปเลยก็ได้


ก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ทุกวันนี้เลี้ยงลูกผิด คิดให้ดีจะมีปัญญา
เลี้ยงลูก บูชาลูก เอาเงินให้ลูกมาก ๆ เอาของเล่นให้ลูกเยอะๆ เลยเลอะเทอะ
จิตก็กลั้วไปในอบาย หลงมักง่ายแจกจ่ายไปในทรัพย์ เลยอับจนทนไม่ได้


บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย เพราะพ่อแม่ใช้ลูกเลี้ยงลูกผิด คิดไม่ถึง ดึงไม่เป็น เว้นไม่ได้ ลูกก็เลยตกเป็นท า ส ข อ ง อ บ า ย ตามไปในกิเลส ในเทคโนโลยีที่บุคคลเป็นคนสร้างขึ้นมา คนทั้งหลายทุกวันนี้ถามดี ๆ จะมีปัญญา

คนทุกวันนี้ไม่มีมูลค่า ไปวิ่ง"ค่า"ตามแต่"ของวัตถุ"


ของกินจะต้องเอาแพง ๆ อร่อย ๆ อันนี้มันก็ทำให้กร่อยได้เหมือนกัน กร่อยตรงไหน กร่อยกระเป๋า กระเป๋าจะขาดสะบั้นเพราะมันไม่มีสตางค์
นับตั้งแต่เส้นผมยันเล็บ เหน็บให้ดี ๆ มีแต่คำว่าสตางค์เท่านั้นที่สวย

ร่างกายของทุกคนบางคนนั้นโลภมาก มีเงินเป็นไม่รู้กี่พันล้าน กี่หมื่นล้าน มีบ้านราคาเป็นร้อย ๆ ล้าน แท้ที่จริงเมื่อกายสังขารเขาตายไปแล้วเหลืออะไร ท่านทั้งหลาย

เหลือแต่กระดูกแขวนไว้หรือติดไว้ในดินก็สิ้นไป


ส่วนเงินหลาย ๆ ล้าน ที่ อุ ต ส่ า ห์ ห า ม า ไม่กล้ากิน ไม่กล้าใช้ เมื่อลูกหลานใช้ไม่เป็นก็เข็ญใจ เอาไปทำลายหรือไปผลาญหมด อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ แต่ก็เตือนได้อย่างเดียวว่าให้เฉลียวใจ การเอามาก กักมาก ตุนมาก สิ่งที่ตามมาก็จะไม่เหลือ แม้นเกลือที่มันเค็มอยู่ในท้องทะเล ถ้าบุคคลเอามาใช้มากเกินไป สิ่งที่เหลือไว้ฝูงสัตว์ที่กัดกินของที่เค็ม ก็จะหมดโอกาสได้เช่นกัน เหมือนในถ้ำ พวกทรายเก้งหรือพวกช้าง มันชอบแทะกินของที่เค็ม ๆ ที่มันอยู่ในรูถ้ำ เพราะมันมีวิตามิน อันนี้ก็ไม่ทราบว่าวิตามินอะไร แต่มันชอบกินพวกดิน อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน ธรรมชาติที่ฝูงสัตว์มันก็กินของธรรมชาติ มันรู้จักหากิน แต่พวกเรานั้นสิ้นความคิด อยากไปสร้างใหญ่เกินกว่าธรรมชาติ ผลสุดท้ายก็กลับไปสู่สภาพเดิม


เปรียบเสมือนสร้างตึกที่สูงชัน 
เมื่อตึกนั้นก็ต้องถล่มเมื่อมันหมดวาระอายุขัยของมัน 
ดินสลาย ทรายก็กระจายเป็นเม็ด เหล็กก็เป็นสนิม ทิ่มลงมา 
ผลสุดท้ายก็มากองอยู่ตรงดินเช่นเดิม….


อะไร ๆ มันก็หนีกฏของความจริงอันนี้ไม่ได้ หญิง-ชายควรพิจารณาต่อ ให้เป็นใหญ่สักปานใด ใหญ่อ ะ ไ ร ฟั ง ใ ห้ ดี ถ้าทุกคนใหญ่ในการรู้จักประหยัด ใหญ่ในการพิจารณา ใหญ่ในการรู้ค่าของธรรมชาติ ใหญ่ในการรู้จักคิดคะเน ตรึกตรอง มองการณ์ไกล ควรรู้ใช้จ่ายพอดี อันนี้เขาเรียกว่าใหญ่ที่ถูกต้อง


ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ระดับครองโลก เหมือนจักรพรรดิ์
สิ่งที่ใหญ่กว่าเขานั้นก็คือความตายนั้นเอง



ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่ ห นี ค ว า ม ต า ย ไ ด้ เพราะฉะนั้นความตายรอเราอยู่ข้างหน้า พรุ่งนี้นี่เอง พรุ่งนี้ไม่มีใครไปถึง ดึงให้ติด คิดให้ดี อย่ามัวงมงายอยู่ในสิ่งนั้นสิ่งนี้กันอยู่เลย มองความจริง


แต่โดยทุกวันนี้ คนทุกวันนี้ไม่ค่อยรับความจริง พอพูดความจริงแล้วไปอิงแอบเรื่องอื่น ปิดบังตัวเอง ปิดบังกิเลส ปิดบังความต้องการ มัวไปชื่นบานอยู่กับสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง ลืมมองตัวตน ค้นไม่จบ พบไม่ได้ ชีวิตก็สายเกินไป เกิดมาก็ตายเปล่า เสียดายที่เกิดมาชาติหนึ่ง ๆ ก็ไม่กล้าดึง ในที่สุดก็ติดตรึงอยู่ในโลกของอบาย


เมื่อตอนตายก็ไปร้องโวยวายใครจะช่วย จะรวยหรือจน ผลที่สุดก็ความตาย
จะเป็นยาจก จัณฑาล จะเป็นพระราชา พระมหากษัตรย์หรือจะเป็นเทพพรหม เป็นอะไรก็แล้วแต่


ถ้าไม่หลุดพ้นก็มีความเกิด-ตาย,เกิด-ตาย วันแล้ววันเล่าก็อยู่อย่างนี้ในสังสารวัฏอยู่แล้ว ผู้ที่เป็นผู้รู้มาเตือนแล้วก็มาตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

ภพแล้วภพเล่า ให้สาวจิตคิดการณ์ไกล แต่เขาเหล่านั้นทั้งหลายก็ตั้งอยู่ในความประมาท
ก็เลยขาดสติ ในที่สุดทุกคนก็ตกลงไปในความชั่ว กลั้วแต่ในอบายพอถึงตอนตายเห็นแต่ดอกไม้จันทร์กับดอกไม้ที่ประดับบนโลง


ส่วนลูกเต้าสามีภรรยาหรือใครก็แล้วแต่ เมื่อถึงตอนตายมาถึงก็นั่งร่ำไห้ ผลสุดท้ายร้องไห้ไม่ได้ร้องตลอดชีวิต หลังจากนั้นสามวันสี่วันก็เอาไปเผา ก็ทุกคนก็หันหลังกลับมาใหม่กลับไม่จำคำที่ตอกย้ำ เกิดแล้วต้องตาย เกิดแล้วต้องตาย แจกจ่ายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย ตั้งแต่ระดับสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือคำว่า ช้าง รองลงมาไม่รู้ว่าเป็นอะไร เล็กที่สุดก็คือ มด แมลงหวี่ ที่เล็กแทบจะมองไม่เห็นก็คือตัวริ้นนั่นเอง ฟังให้ดี ๆ สิ่งนี้จะมีปัญญา


แท้ที่จริงเกิดมามีความตายกันทั้งนั้น
ไม่ว่าฉันหรือเธอ ไม่ว่าหญิงหรือชาย กายมันตัวสมมติ ที่สุดก็ว่างเปล่า


แ ต่ ทำ ไ ม ทุ ก ค น เ ข ล า สอนไม่จำ ตำไม่แหลก แยกไม่เป็น มัวแต่เข็นไปในกิเลส ตัณหา และก็อุปาทาน


มัวแต่ไปหลงชื่นใจอยู่กับบ้าน รถ สามี ภรรยา ลูกเต้า เมามัวไปกับทรัพย์ เลยอับปัญญาตัว เสียดายที่เกิดมาครั้งหนึ่งในชีวิต อยู่กันก็ไม่ถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่หาสิ่งดีเอามาไว้ใช้ประดับตัว ประดับใจ ประดับจิตวิญญาณ อันที่จะล่องลอยไปในวัฏจักรหรือสังสารวัฏหน้า


เพราะทุกชีวิตตายไปแล้ว ธาตุดินกลับไปสู่ที่ดิน
ธาตุไฟกลับไปสู่ที่ไฟ ธาตุน้ำก็ต้องกลับไปอยู่ที่น้ำ
ธาตุลมก็ต้องกลับไปอยู่ที่ลม มองก้มดูว่าจริงหรือไม่


ถ้าคิดว่ามองเส้นผมตัวเอง ไม่เป็นก็ให้มองที่ปลายเท้าตัวเอง ก้มดูสิว่าจริงหรือไม่ เงยฟ้าก็เห็นท้องฟ้า แต่สาวมาอาบ มากินไม่ได้ แต่ถ้าก้มหน้าลงดินจะเห็นทันทีชัดเจนมาก เห็นปลายขา มี ๕ นิ้ว ที่เหยียบอยู่บนดิน เห็นต้นไม้และใบหญ้าที่หากินอยู่ทุกวี่วัน

เห็นเธอ เห็นฉัน เห็นนั่น เห็นนี่ เห็นไปในความเป็นธรรมชาติ อันนี้จริงหรือไม่ ก็ลองพิจารณาดู ลองทำดูจะรู้เองถึงบอกไปไม่ทำตามอันนั้นก็ช่วยไม่ได้

ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ ก็เล่ามาและบอกให้ฟัง ยั้งให้คิด ถ้าไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ไม่รู้จักคิด จะไปถามหาใคร มันไม่ได้ ตนเท่านั้นที่จะต้องทำ ส่วนได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ทำตาม อันนี้ก็ไม่มีใครช่วยได้ ทางเดินมีอยู่แล้ว ทางบอกมีอยู่แล้ว ทางชี้แจงมีอยู่แล้ว แนะนำมีอยู่แล้ว ส่วนท่านเธอทั้งหลายหญิงชายเอ๋ย จะทำหรือไม่ก็แล้วแต่ อันนี้ก็ไม่มีใคร
แก้ไขได้ ตัวเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้แก้ไขซึ่งตัวเอง ไม่มีใครจะแก้ไขใครได้หรอก จะบอกให้


เหมือนพ่อแม่เลี้ยงลูกได้
ก็คือแค่เลี้ยงกายที่ออกมาจากท้องจากครรภ์ ส่วนใจเลี้ยงไม่ได้

เมื่อกายโตขึ้น ลูกบางคนลืมพ่อแม่ นึกว่าตัวเองเกิดมาเอง ลืมไปว่าพ่อแม่เป็นคนเกิดกำเนิดมา ลืมไป บางคนถึงกับฆ่าพ่อแม่ตาย อันนี้มีเยอะแยะในสังคมในโลกนี้ สังคมโลกใบนี้มันช่างยาวไกลมาก ถ้าทุกคนไม่พิจารณาก็วกวนอยู่ในโลกใบนี้ ภพแล้วภพเล่า
วันแล้ววันเล่า แท้วันจริง ๆ ก็มีวันเดียวนั่นแหละ แกะให้ดี ๆ มีมืดกับสว่าง มีอยู่แค่นี้
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้


กาลวันและเวลาก็เหมือนกัน เหมือนตัวเรานั่นแหละ มีอยู่แค่นี้ มีสองขา มีสองแขน มีสองตา มีปากหนึ่งปาก มีจมูกสองรูจมูก มีฟันอาจจะสามสิบซี่ บางคนก็ไม่ถึงนะ ดึงให้ดี ๆ จะได้มีปัญญา บางคนฟันยังไม่ถึงนะสามสิบซี่      มีลิ้นอยู่ลิ้นเดียว ลิ้นไม่มีกระดูกผูกไปทั่ว มั่วไปหมด


บางคนก็โกหกตะหลบตะแลง บางคนก็หลอกลวง สิ่งทั้งปวง อันนั้นผิด

คิดให้ดี ๆ ก็บอกแล้วว่า หลอกผู้อื่นในโลกนี้หลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะถึงเวลากรรม,กาย,วาจา,มาถึง ก็โดนจนได้นั่นแหละ แกะให้ดี ๆ จะได้มีปัญญาของตัว

คนเราเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ ถ้ามองดี ๆ แล้ว ไม่มีใครหนีความจริงได้ การตายไม่จำเป็นว่าจะต้องแก่ตาย ไม่ใช่ ฟังให้ดี ๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิด คิดเสียใหม่


การตายทุกวันนี้มีตายทุกสภาวะ

ตายในขณะที่อยู่ในครรภ์ก็ได้ ตายในขณะที่ออกมา ๓ วันก็ได้ หรือตายขณะที่หลุดจากครรภ์มารดาเลยก็ได้ ตายในขณะที่ยังไม่โตก็ได้ ตายได้ทุกเมื่อ ตายยังหนุ่ม
ยังสาว ตายได้หมด ถึงจะแก่ตายอันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทุกวันนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านเธอทั้งหลาย กายตายตามถนนหนทาง ตายกันหมด หยุดไม่ได้


เพราะทุกคนเอา ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เปลืองมาก บนถนนหนทางทุกวันนี้ ถ้าเดินเหมือนสมัยโบราณก็มีความตายน้อยหน่อย แต่ทุกวันนี้ใช้ยานพาหนะ โดยการมี
รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ อย่างนี้เป็นต้น การวิ่งเมื่อขาดสติปั๊บ การขับเคลื่อนมันย่อมจะพลาดก็เสียหลักนั่นเอง ก็หักไปในทางที่ไม่ถูก ในที่สุดก็ตาย ไม่ว่าจะระดับไหน ตายกันทั้งนั้น

เราต่างหากควรจะอายสัตว์ที่มันมัดตัวอยู่อย่างพอดี มันอยู่ในรู มันก็ตายช้า
เนื่องจากว่า มันรู้หาที่อยู่ของมัน แต่พวกเราเสียดายเกิดมาอายสัตว์เพราะไม่วัดตัวตน


ค้น.. ค้น.. ค้น.. จะได้ไม่จนปัญญา ชีวิตจะได้มีราคาสมกับที่ได้เกิดมา อยู่ในพระศาสนาพุทธ หยุดในการเวียนว่ายตายเกิดนั้นได้แล้ว รีบแจวจิตคิดการณ์ไกล ชีวิตจะได้ไม่วุ่นวาย จะได้ไม่ตกลงไปในอบายของตัว จะได้ไม่มั่วในกาม ตัณหาและก็อุปาทานตน ค้นค้นค้น จะได้ไม่จนใจจะได้ไม่เสียดายที่เกิดมาชาติหนึ่ง ๆดึงให้เป็นจะได้ไม่เข็ญใจ

หญิง-ชายเอ๋ยพวกเธอนั้นเกิดมาก็มีกายติดมาแล้ว ควรแจวจิตคิดการณ์ไกล ให้ใจมีประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้ใจ ใช้กาย ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้สมาธิ อันนี้มันก็ช่วยปกป้องประคองจิตเราให้คิดดีก็ไม่มีทุกข์ถ้าทุกคนมองหลักความจริง


แ ต่ ทุ ก วั น นี้ คนไม่ยอมรับความจริง ทิ้งคำสั่งสอนของปู่ย่าตายาย ทิ้งคำสั่งสอนของคนโบราณกาลมา


ก็เลยตกลงบ้าในวัตถุ มุมานะในทรัพย์สิน
หมิ่นในคำสอนก็นอนทุกข์ ชีวิตก็เลยไม่มีสุข สุก ๆ ดิบ ๆ
เลยใช้อะไรไม่ได้เลย


เสียดายที่เกิดมาในครั้งหนึ่ง ไม่พากันดึงให้ติด คิดให้เป็น มัวแต่ไปคิดแต่จะเอานั่นเอานี่ ลืมคิดเอาสิ่งที่ดีก็คือปัญญา ไม่รู้ค่าของตัว เสียดายที่เกิดมาชาติหนึ่ง เสียดายที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ดึงไม่ติด


ชีวิตมัวแต่ขอจะมัวรออะไรเล่า ทุกวันนี้ไม่ต้องรอไม่ต้องขอ ใครอยากได้ก็ต้องทำเอง แต่ก็ควรเกรงใจก็คือ อย่าทำชั่ว อย่ากลั้วในอบาย ให้ทำดีก็จะมีปัญญา ชีวิตก็จะได้มีราคายิ่ง ไม่ทิ้งกายสังขารให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามธรรมชาติโดยไร้ค่า เธอทั้งหลายควรหา คิดให้ไปทางถูก จะได้ไม่ตกลงไปในที่ผิด คิดให้เป็นก็ให้เข็ญใจ แค่นี้ชีวิตเธอทั้งหลายก็มีความหมายอยู่แล้ว คนโดยมากทุกวันนี้พูดกี่ครั้ง สั่งกี่ทีก็ไม่ค่อยมีความคิด ทำเป็นหูตึง ดึงไม่ติด บอกให้พิจารณาตัว ก็มัวไปกลั้วแต่ในอบาย


บอกให้เข้าวัด ก็หาว่าที่วัดไม่น่าศรัทธา
แท้ที่จริงให้วัดใจตัวเอง กิเลสของตัวนั่นแหละ
ที่มันฝังหมักหมม สมอยู่นาน จนบางคนถึงกับตัวผมก็หงอก ฟันก็หลุดยังไม่ขุดเอาออก มัวแต่หลอกตัวเองจนวันตาย โถ!น่าเสียดายที่เกิดมาครั้งหนึ่งดึงไม่เป็น ก็น่าเวทนามาก


ไม่ว่าจะระดับไหนถ้าไม่รู้จักตัวเองแล้ว ก็หมดความหมาย
มัวไปรู้จักบุคคลอื่น มัวไปปรุงแต่งกับบุคคลอื่น ชีวิตก็เลยเป็นทุกข์ สุขไม่เกิด อันนี้ควรจะใช้ปัญญาให้เป็น เว้นให้ได้ในสิ่งนี้ ๆ ทุกคนก็จะมีความสุข

อย่างเช่นพ่อแม่พี่น้องลูกหลานยุคปัจจุบันนี้ อ ยู่ กั น แ บ บ ร้ อ น ๆ ทำไมถึงพูดคำนี้ ทุกคนอยู่กันแบบร้อน ๆ อยู่กันแบบอวดดี อยู่กันแบบเห็นแก่ตัว แม่ไม่คุยกับลูก พ่อไม่คุยกับแม่ พี่ไม่คุยกับน้อง น้องไม่คุยกับพี่ มัวแต่ตระหนี่ในปัญญา ไม่หันหน้าเข้าหากัน มัวแต่หันหลัง ก็เลยมาพังทีเดียวว่าไม่ถูกต้อง เ พ ร า ะ ไ ม่ ไ ด้ ม อ ง ซึ่ ง ตั ว เ อ ง


มัวแต่คิดว่ากูเก่งกว่า ข้าเก่งกว่า ก็เลยไม่เข้าใจกัน ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนทั้งโลกใบนี้ มองแต่เห็นแก่ตัวเอง ไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่ปรึกษา อยู่กันแบบลวก ๆ
หมือนลวกผักสุก ๆ ดิบ ๆ ลวกผักสุก ๆ ดิบ ๆ ยังเอามาจิ้มหรือจิ้มน้ำพริกอร่อยกว่า

แต่ปุถุชนคนทุกวันนี้อยู่กันแบบลวก ๆ พ่อแม่ไปหันเข้าหน้า พ่อไปพ่อ
แม่ไปแม่ ลูกไปลูก ไม่ผูกจิตชีวิตก็เลยแตกฉานและแตกร้าวในครอบครัว มัวแต่โทษกัน แต่ไม่หันหน้าเข้าหากัน

มัวแต่เอาความทิฐิ มัวแต่เอาความหลง ตกลงกันไม่ได้

อันนี้สำคัญมาก เลยไม่รู้ใครผิดใครถูก ก็มัวแต่ผูกว่ากูแน่ กูแน่ แก้ไม่ตกยกไม่ได้ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าใครฟังแล้วเอาไปคิด พิจารณาให้ดี เราควรจะอยู่กันอย่างสันติ อยู่กันอย่างพึ่งอาศัยกัน อยู่กันแบบปรึกษา อยู่กันแบบเจรจา อยู่กันแบบคำหวาน อย่าอยู่กันแบบอวดเก่ง เบ่งแต่ในกิเลสตัว


ในที่สุดพ่อแม่ก็หนีไป ลูกก็หนีไป ต่างคนต่างไปกันคนละทาง บางคนพ่อแม่ตายไปไม่เห็นใจก็มีนะ จะบอกให้ อันนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไม่ได้อิงแอบ บางทีพ่อแม่เลี้ยงลูกมาให้เติบใหญ่ มีการศึกษาแต่ก็กลัวเสียหน้าเพราะพ่อแม่นั้นจนยิ่งนัก มัวอายเพื่อน
พอเห็นคนแก่ ๆมาหาก็คิดว่านั่นยายชรามาจากไหน

แท้ที่จริงมารดาเกิดกายซึ่งตัวนั่นเอง อันนี้มันมีนิทานเล่ามากันเยอะในประวัติศาสตร์โลก มันมีอยู่แล้วทุก ๆ ทุกนาม มันมีอยู่แล้วในยุคปัจจุบันนี้ยิ่งมีมาก กลัวเสียหน้า

            โถ!น่าเวทนา หน้าอยู่ที่ไหน

ถ้าไม่มีมารดาบิดาเป็นผู้เกิดหน้าตากายออกมา หน้าเพื่อนเหรอไม่ใช่หรอก จะบอกให้
เขาเหล่านั้นมีแต่จะหลอกกินให้ถวิลเสียก่อน จะสอนให้รู้ เพื่อนให้เลื่อนใจ หาได้น้อยโดยมากเจอแต่เพื่อนกิน เพื่อนหลอก ปอกลอก เหมือนสามีภรรยาก็เช่นเดียวกัน ณ.ปัจจุบันนี้ถ้าไม่มีดีแล้วก็อยู่กันไม่ได้ นิทานเรื่องนี้มีเล่าขานกันมานานตั้งแต่สมัยไหน ๆ กันอยู่แล้ว คนลืมคุณบิดามารดา เมื่อเห็นคนชราเดินมาก็หันหลังให้ ลืมไปว่าโถท่านเป็นผู้เลี้ยงกายเรามา ผู้โอบอุ้ม ผู้ตามใจ ผู้ให้ในทุกอย่าง ให้กายสังขารไม่พอ ให้การศึกษา มีปริญญาตัว ตัวเองเลยหลงผิดไปหลงในสังคม คิดว่าตัวเองได้มาเอง ผิดแล้ว รีบแจวจิต คิดเสียใหม่ ปุถุชนรุ่นหลังทั้งหลาย อย่ามัวอวดเก่งเบ่งอยู่เลย เพราะทุกวันนี้ชีวิตของทุกคน มัวแต่หลงกลไกของอวิชชาโลก หลงกลไกในอุบาย หลงกลไกแจกจ่ายไปในทรัพย์สิน ลืมถวิลถึงจิตใจของพ่อแม่ผู้ที่หา อย่างเช่นนักเรียนทุกวันนี้ บางคนไม่ได้เรียนหนังสือเลย พ่อแม่ แต่เอาเงินของพ่อแม่ที่หามาแสนจะเหน็ดเหนื่อย เลือดตาแทบกระเด็น เหงื่อแทบจะเป็นสายเลือด หามาเพื่อจะให้ลูกนั้นร่ำเรียน แต่ลูกอย่างเช่นไปอยู่กรุงเทพบ้าง ไปอยู่เมืองนอกบ้าง อย่างนี้เป็นต้น หลอกพ่อแม่ไปวัน ๆ เอาสตางค์พ่อแม่หาได้เอาไปเล่นการพนันบ้าง เอาไปเลี้ยงเพื่อน เอาไปหลงในกามโลกีย์ อันนี้เป็นเรื่องจริงหญิงชาย ไม่ใช่เรื่องหลอกบอกให้รู้ ยกเว้นว่าคนนั้นฟังแล้วไม่พิจารณาก็บ้าไปตามกาลเวลาของมัน

ก า ร ศึ ก ษ า ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนไม่เรียนหนังสือ มัวแต่ดื้อในคำสอน บางคนถึงกับหลอกเอาเงินพ่อแม่ ว่าไปค่านั่น ค่านี้ ค่าหอพัก แท้ที่จริงไม่ใช่ ค่าโรงเรียนที่จริงไม่ใช่ เอาสตางค์ไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ เอาสตางค์ไปซื้อรองเท้าแพง ๆ เอาสตางค์ไปซื้อของแต่งหน้าให้สวยหรูตามเพื่อน อันนี้มีอยู่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมในภูมิสยามเรา มีมากมันทั้งโลกใบนี้แหละ เอาสตางค์ไปซื้อโทรศัพท์แพง ๆ อย่างนี้ตามเทคโนโลยี

ที่กลไกโลกมันสร้างขึ้นมา   กลไกมนุษย์สร้างขึ้นมา
หลงลืมศรัทธาว่าบิดามารดานั้น
หาสตางค์กว่าจะได้แต่ละบาทแต่ ล ะ ส ลึ ง แ ต่ ล ะ เ ฟื่ อ ง เหงื่อนั้นแทบจะตกเป็นสายเลือดแทบเหือดหาย แต่ก็ด้วยที่รักลูกนั้นไม่เคยหน่าย ก็อุตส่าห์หา บางคนถึงกับเอาสิ่งที่มีอยู่ในบ้านเอาไปไปจำนองจำนำ อย่างนี้มันก็มีมาแล้วทั่วทั้งโลกใบนี้ เอาไปจองจำนำ

เพื่อให้ลูกมีการศึกษา มีการเรียน แต่ลูกนั้นเป็นลูกที่จัดได้ว่าดี ก็ไม่ได้เอาไปเรียนหนังสือ เอาไปทำอย่างอื่น มัวไปชื่นชมในวัตถุสิ่งของ หลงทางความรื่นเริง หลงในเชื้อเพลิงที่มันตกแต่งสวยงาม ก็หลงไปในอบาย    หลงไปในคาวโลกีย์ หลงไปในความบันเทิง
พูดง่าย ๆ ว่าหลงกรุงนั้นเอง หลงเมืองใหญ่ หลงไฟแสงสี


ลืมไปว่า พ่อแม่กว่าจะหาได้แต่ละบาทแต่ละสลึงแต่ละเฟื่อง มีเรื่องเคืองขัดสักปานไหน ลูกนั้นไม่เคยเข้าใจของบิดามารดาที่เป็นผู้หาให้ในสตางค์
ปุถุชนคนรุ่นหลังฟังแล้วคิดกันเสียบ้าง
อย่ามัวแต่เอาสตางค์ไปใช้จนลืมคิดผู้ที่หาให้ ผู้ที่หามาเหนื่อยสักปานไหน เคยมี
ใครรู้บ้าง พ่อแม่เหนื่อยแทบเลือดตาแทบกระเด็น 

เหงื่อแทบเป็นสายเลือดกว่าจะแปลง    เหงื่อนั้นเป็นรูปสตางค์ บางคนรับจ้างเข็ญของ บางคนทำนั่นทำนี่เป็นสินจ้าง เพื่อจะได้หาสตางค์ให้ลูกเรียนหนังสือ จะได้มีหน้ามีตาเหมือนชาวบ้านเขา จะได้ทัดเทียมเหมือนบุคคลอื่น จะได้ชื่นใจ แต่ลูกนั้นแสนจัญไร เอาสตางค์พ่อแม่หาได้ ไปหลงอยู่กับยาบ้า ค้าเฮโรอีน ผลสุดท้ายก็โดนจับ โดนไล่ครับ ในที่สุดก็ครับอยู่ไหนก็อยู่ในคุกตะราง อ้างไม่ถูก ผูกไม่เป็นก็เข็ญใจ


พ่อแม่ร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ลูกอยู่ในตะรางแล้วแทนที่จะได้สตางค์เอาไปซื้อปริญญา
ลูกเลยเอา ไปค้ายาบ้า เฮโรอีน อันนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ถวิลกัน
เสียด้วย ช่วยไม่ได้สิ่งนี้ไม่มีใครทำ ใครทำเล่า เจ้าทำเอง นักเลงหรือยาจก พกให้ดี ๆ ความดีนั้นผู้รู้สอน ทุกบทตอน ทุกยุคทุกสมัย ให้ละความชั่ว แต่คนที่เป็นลูกเป็นเด็กวันนี้และผู้ใหญ่วันหน้าไม่เคยเชื่อฟัง ไม่ยั้งความคิด ชีวิตเลยทุกข์สุขไม่เกิด รู้ไว้กันเถิดจะได้เกิดปัญญาตัว ชีวิตจะได้ไม่มัวหมอง จะได้ไม่ครองแต่ความทุกข์ เหมือนพ่อแม่จะเกริ่น เรียกลูกว่า


ลูกเอ๋ย เกิดมาแล้วสิ่งที่แม่ปรารถนา อยากให้ลูกมีปริญญา
จะได้เอาไว้ศึกษาหาค่าของตัวเอง ลูกเอ๋ยอย่าเป็นคนดี้อ อย่าถือทิฐิ
แม่จะดำรินั้นให้ฟัง ลูกเอยเมื่อเติบโตขึ้นมา อยากให้ลูกของแม่นั้นแก่กล้า เป็นผู้ที่กล้าหาญ ทำความดีมีการศึกษา มีปริญญา จะได้ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า แม่นั่นเฝ้าคอยให้เจ้านั้นติดตามเมื่อแม่ตาย อันนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคนไทย ญาติผู้ใหญ่ คุณตาคุณยาย จะเอ่ยคำนี้ตลอดว่า ลูกหลานเอ๋ย เกิดมาแล้วขอให้ลูกเป็นเด็กดี มีปัญญา มีวิชาตำราเรียน ขีดเขียนอ่านนั้นให้เป็น อ ย่ า เ ข็ ญ ใ จ


เมื่อเติบใหญ่จะเป็นเด็กดี มีความรู้ จะได้ก้าวหน้าไปตามกาลเวลาของโลก
นี่แหละความที่เป็นพ่อแม่และเป็นปู่ย่าตายาย สิ่งที่พ่อแม่หวังก็คือ อยากให้ลูกในกายเป็นเด็กดี เป็นลูกที่ดีในบ้าน อย่างเป็นผู้ชายนั้น นับว่าดีมาก เพราะชีวิตจะได้บวชปลดเปลื้อง จะได้มีผ้าเหลืองห่มกาย จะได้ช่วยโยกย้ายให้แม่ขึ้นสวรรค์ ตามที่ท่านผู้รู้เอ่ย


อันนี้เราคนไทยอยู่ในพระพุทธศาสนาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราก็เคยได้ยินได้ฟังที่เล่าขานกันมาทุกยุคทุกสมัย ก็หลายพันปีมาแล้ว
มารดาที่เลี้ยงพันผูกด้วยความรัก
ไม่เคยเลยว่าจะเกลียด ลูกผิดสักพันครั้งหรือร้อยครั้งยังอภัย

แต่ลูกนั้น แ ส น จ ะ จั ญ ไ ร ถึงกับฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อแม่ อันนี้ใช้ไม่ได้


อันนี้ไม่ควรให้มีในสังคมประเทศไทยเรา เพราะว่า 

บุญคุณบิดามารดานั้นมันยิ่งใหญ่มหาศาล

จะเอาบ้านมาเปรียบไม่ได้…เอาดินมาเปรียบไม่ได้

เอาน้ำมาเปรียบไม่ได้…เอาภูเขาอากาศมาเปรียบก็ไม่ได้


คนเดินอยู่บนดิน แต่ไม่เดินอยู่บนอากาศ รอยเท้ามนุษย์โลกไม่มีในอากาศ มองให้ดี คิดให้ดี จะได้มีซึ่งปัญญา รอยเท้าบนอากาศไม่มี หญิงชายจำเอาไว้ โลกใบนี้มันมีแต่บนดิน สิ้นไปกับดิน กิ น อ ยู่ กั บ ดิ น

แต่สิ่งที่ทุกคนควรถวิลคือกายบิดามารดาควรดูแลท่านนั้นให้ดี ชีวิตท่านจะอยู่กับเราจนเราตายก็หาไม่ เพราะชีวิตการตายไม่มีใครบอก ไม่มีใครมาเคาะประตูว่า เฮ้ย นี้ตายแล้วนะ ไม่มี เรื่องนี้มีเล่ากันมาอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันไม่มีจะบอกให้ ความตายเมื่อถึงเวลาอาจจะนอนตายก็ได้ นั่งตายก็ได้ หรือยืนตายก็ได้ บางคนนั่งสุขสบายนั่งบนเครื่องบินตาย นั่งบนรถตาย ขณะกายที่ยังอยู่ครบ อันนี้ขบให้แตก แยกให้เป็น ก็จะได้ไม่เข็ญใจ ก็จะได้ไม่ตกลงไปในอบาย ก็จะได้ไม่สบประมาทคุณบิดามารดาที่เกิดกายเรามา เราควรบูชาท่าน


คำ ว่ า แ ม่ อย่างวันนี้เป็นต้น เป็นวันที่ ๑๒ สิงหา พุทธศักราช๒๕๔๙ จะสาวมาเล่าขานสู่กันฟังว่า มารดาของแผ่นดิน นั้นคือพ ร ะ ร า ชิ นี


พ่อของแผ่นดินของเรา คือพ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ หั ว


ที่พวกเราทั้งแผ่นดินเคารพท่าน อันนี้เป็นพ่อ ส่วนแม่ของแผ่นดินคือแม่พระราชินี นั้นคือเป็นแม่ แม่ของแผ่นดิน แม่อันนี้ยิ่งใหญ่นัก ใหญ่มาก ใหญ่ทั้งแผ่นดินภูมิสยาม


ทีเดียว เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายควรอย่าเฉลียวใจ เพราะฉะนั้นถ้าเคารพแม่ของแผ่นดิน เราทั้งหลายก็ควรถวิลในใจว่า เราควรรักธรรมชาติ อนุรักษ์ป่าไม้และต้นน้ำลำธาร ชีวิตจะได้สุขสบาย เหมือนดั่งคำที่ท่านดำรัสและดำริมา อันนี้เป็นแม่ของแผ่นดิน ท่านนั้นรักแผ่นดินมาก รักธรรมชาติมาก อนุรักษ์และก็ดำริตลอดเวลาว่า พวกเราทุกคนคนไทยควรจะช่วยกัน
รักษาป่าไม้ลำธาร ต้นไม้คือชีวิต ลำธารคือสายเลือด


เพราะฉะนั้นพระมารดาของแผ่นดิน คือ พระราชินีนั้นยิ่งใหญ่อันมหาศาล เพราะฉะนั้นเราลูกหลานที่อยู่บนภูมิสยาม หรือ ประเทศไทย เราน่าจะช่วยกันรักษาตามดำริของพระองค์ท่าน อย่าได้ท่านได้ผิดหวังกับปุถุชนคนรุ่นหลัง ลูกหลานประเทศสยามหรือประเทศไทยในยุคปัจจุบัน


ควรอนุรักษ์สายน้ำและลำธาร และต้นไม้ใบหญ้า มันเปรียบเสมือนร่างกายและสายเลือด


ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยู่ในนั้นทีเดียว เพราะฉะนั้นให้เฉลียวใจกันเสียบ้าง อย่าตัดไม้ทำลายป่า อย่าใช้น้ำเปลือง อย่าตัดธรรมชาติเปลือง สมดังคำที่พระองค์ดำริมาว่า
ใช้น้ำให้เป็น ใช้ป่าไม้ให้เป็น ใช้ธรรมชาติอย่าให้เปลือง
ช่วยกันอนุรักษ์ เพราะลูกหลานคนรุ่นหลัง จะได้มีน้ำใช้ จะได้มีป่าใช้
และก็จะได้มีธรรมชาติ ที่ร่มรื่น และก็มีออกซิเจนให้มวลสัตว์นานาชนิด
ได้มาอาศัยได้มาอยู่ และพวกเราชาวไทยทั้งหลายก็จะมีความสุข

เราจงรักประเทศชาติ รักบ้านเมือง รักบ้านเมืองของพระองค์ พระองค์ทรงเสียสละแม้นพระวรกาย ไม่ว่าจะเป็นฝนตก แดดออก บอกให้รู้ ไม่ว่าจะเป็นมรสุมอะไรก็แล้วแต่ พระองค์นั้นทรงไปถึง ณ.ที่หมายอันนั้น ๆ โดยไม่เคยย่อท้อและเหน็ดเหนื่อยต่อพระวรกาย อันนี้สมแล้วที่พวกเราคนไทยทั้งหลาย ควรจะมาช่วยกันอนุรักษ์ผืนป่าแผ่นดินไทยทั้งประเทศ พระองค์นั้นทรงเป็นผู้ชี้แนะและชี้ทางชี้ทุกอย่างให้ลูกหลานเข้าใจ


เ พ ร า ะ ฉ ะ นั้ น วั น นี้ เ ป็ น วั น แ ม่ คนที่เป็นลูกของแม่ทุกคนก็ควรจะรัก รักพ่อแม่ ก็ต้องรักไปหมดเลย แม่ทุกคนก็มีกายเหมือนกัน    และแม่อันยิ่งใหญ่ก็คือ พระราชินีแม่ของแผ่นดิน


ส่วนแม่ของเราปุถุชนคนทั่วไป ลูกหลานประชากรของพระองค์ ก็คือแม่มารดาบิดาของเราผู้เกิดกายเรานั้น ๆ เพราะฉะนั้นอันนั้นสำคัญมาก  ทุกคนมัวแต่หลงทุกคนไม่นึกถึงบุญคุณของมารดาบิดา
                  อันนั้นก็เปรียบว่า ไม่รักแผ่นดิน ไม่รักบิดามารดาของตนเอง

มัวไปเป็นนักเลงเข่นฆ่า โดยลืมว่านี้คือแผ่นดินไทย แผ่นดินไทยของเรามีพระเจ้าอยู่หัว มี
พระราชินี ซึ่งเป็นพระมารดาและก็พระบิดาอันสูงสุดของประเทศสยามเรา


เพราะฉะนั้นอันนี้คำดำรัสของพระองค์มีอยู่ทุก ๆครั้งที่ถึงวาระ พระองค์ทรงดำริและดำรัสมาโดยตลอดในเรื่องนี้ ทำไมเราประชาชนคนไทย ถึงไม่เอาคำนั้นของพระองค์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ โทษจะได้ไม่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปฆ่ากัน ไม่ต้องไปทะเลาะกัน อยู่กันอย่างสันติ มีเสรีภาพ อยู่กันอย่างรักสามัคคี


ทุกศาสนาสอนให้บุคคลเป็นคนดี
พระองค์นั้นไม่เคยตำหนิว่าใครเป็นใคร
มาจากไหนในโลกใบนี้


พระองค์ทรงเป็นผู้เปิดกว้าง กว้างเสมอ ไม่เคยตำหนิใคร แม้นเพียงคนเดียว สมกับคำที่เล่าลือมาโดยตลอดว่า ประเทศไทยเป็นประเทศสยาม ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ยิ้ม ที่เดินมา ยิ้มรับเสมอ
คนทั้งโลกกล่าวขานว่า นี่ คื อ ส ย า ม เ มื อ ง ยิ้ ม

เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกหลานชาวไทย ก็น่าจะควรจะอนุรักษ์ และก็ปฏิบัติทางที่ถูกต้อง อย่าทะเลาะกันเลย รักท่านดูแล อย่าตีกัน อย่าทะเลาะกัน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เพราะเรามีพระมารดาองค์เดียวในประเทศสยามคือ พระราชินี
ซึ่งเป็นแม่อันยิ่งใหญ่ และมีพ่อองค์เดียวเหมือนกัน ก็คือ พระเจ้าอยู่หัว

ผู้ซึ่งเป็นบิดาของแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิสยาม เพราะฉะนั้นเราลูกหลานชาวไทยทั้งหลาย เราควรจะเคารพรักและก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน รุ่นหลังลูกหลานควรจะรักสามัคคีมีดีอยู่ในตัวในประเทศสยามอยู่แล้ว ไม่ต้องไปถามใคร ๆ เพราะเราคือลูกหลานคนไทย การเป็นนักเรียนเช่นเดียวกัน พระองค์นั้นเป็นผู้ให้แม้นแต่การศึกษา ความรู้ต่าง ๆ ทุกอย่างมีให้หมด พระองค์เป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศสยาม

และเป็นพระองค์ที่เล่าขานโจษขานทั่วโลก
เพราะเป็นพระมารดาอันยิ่งใหญ่สมสง่าที่เกิดมาเป็นแม่ของสยาม
งามยิ่งไม่มีสิ่งใดงามเหมือน ….

เพราะฉะนั้นพวกเราชาวไทย เป็นลูกชาวสยามเมืองยิ้ม ก็ควรจะทำตัวให้ดี ทำตัวให้น่ารัก ทำตัวอย่าให้น่ารังเกียจ ทำตัวให้เป็นคุณค่า อันนี้แหละถูกต้องแล้ว
มีธรรมชาติในประเทศไทย เราก็ช่วยกันรักษา
มีแม่น้ำในเจ้าพระยาเราก็ช่วยกันอนุรักษ์
มีทรัพยากรใต้ท้องทะเลธรรมชาติเราก็ช่วยกันดูแล

มีลูกหลานที่อยู่ในรั้ว คือ โรงเรียน สถาบัน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ช่วยกันสอนเตือนลูกหลาน ว่าเราเป็นลูกหลานชาวสยาม ภูมิสยามไทยของเราจะอยู่กันอย่างเป็นสุขไม่ทะเลาะกัน พวกเรานั้นเป็นคนดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เป็นอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีมานานแสนนาน ไม่เคยตกเป็นทาสของใครในโลกนี้ พวกเราเป็นสยามยิ้ม เป็นผู้ที่มีอิสระ

ก็เพราะว่าเรามีพระบิดาที่ยิ่งใหญ่นั้นเอง เรามีพระมารดาที่ยิ่งใหญ่นั้นเอง แล้วทำไมล่ะ พวกเราเป็นลูกหลานชาวประเทศสยาม ทำไมเราไม่รักษา ทำไมเราต้องทะเลาะกัน ทำไมเราต้องตีกัน ทำไมเราไม่หันหน้าเข้าหากัน

เพราะเรามีบิดามารดาอันเดียวกัน

ทำไมเราไม่ช่วยกันแก้ไข ทำไมต้องทะเลาะกัน ไม่ได้อะไรหรอกจะบอกให้ เราทั้งหลายเป็นลูกหลานสยามเป็นลูกหลานของประเทศไทย จงมาหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันแก้ไข หันหน้าเข้าหากันอย่าทะเลาะกันเลย

พ่อแม่ที่เห็นลูกทะเลาะกัน ย่อมจะเจ็บปวดเป็นธรรมดาเพราะฉะนั้นพวกเราคือลูกหลานชาวไทยทุกคน มีพระมารดาคือพระราชินีเป็นพระมารดาของประเทศ มีพระบิดาก็คือพระเจ้าอยู่หัวเป็นบิดาของประเทศที่ยิ่งใหญ่

เราลูกหลานชาวไทยจะมัวรีรอกันทำไม จะมัวทะเลาะกันทำไม อายกันเปล่า ๆ หน้าจะหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันรักษาความดี สามัคคีแก้ไข อะไร ๆ จากที่ร้ายก็กลับกลายเป็นดี อันนี้แหละ คนที่เป็นพ่อแม่ ก็คงภูมิใจที่มีลูกหลาน รักสามัคคี ไม่ทะเลาะกัน ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่เห็นแก่ตัว พ่อแม่ก็คงดีใจเป็นอันมาก อันนี้ที่เอ่ยมา ก็จะได้เป็นอุทาหรณ์ว่าเราทั้งหลายคือคนไทย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตั้งอยู่ในรัฐธรรมนูญเดียวกันหมด
มีพระพุทธศาสนาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ในพระศาสนาพุทธของเรา
เพราะฉะนั้น เราลูกหลานชาวไทย คืออยู่ใน
                องค์พระพุทธ
               พระธรรม
               พระสงฆ์แล้ว
ทำไมต้องทะเลาะกัน ทำไมต้องแบ่งกัน ทำไมต้องฆ่ากัน จะมัวฆ่ากันอยู่ทำไมเล่า ในเมื่อเกิดมาอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็ต้องตาย ทำไมไม่ช่วยกันรักษาแผ่นดินของเราเอาไว้ ทำไมเราไม่ช่วยกันแก้ไข ไม่ต้องไปฆ่ากัน ผู้ถูกฆ่าย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักพ่อแม่ในประเทศสยามของเราคือ พระบิดาอันยิ่งใหญ่ พระมารดาอันยิ่งใหญ่ ในประเทศของเราแล้วละก็ เราควรรักษา หันหน้าเข้าหากัน
มาแก้ไข ช่วยกันคนละไม้ คนละมือ ช่วยกันถือแต่ดี ๆ แค่นี้ก็แก้ไขได้แล้ว รีบแจวจิต
คิดให้เป็นสิ่งที่ตามมาก็คือ


ความสามัคคี สมัครสมาน รักปรองดอง ก็ครองอยู่ในสุข ไม่เป็นทุกข์เลย


แค่นี้ทุกคนก็อยู่กันอย่างสันติ และก็ เสรีภาพ
ไม่ต้องไปค า บ ค ว า ม อ ย า ก กันให้มาก ชีวิตก็มีความสุขแล้ว
แค่นี้โลกนี้ หรือ ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทย ก็มีความสุข

ค น ที่ เ ป็ นลู ก ก็ รั ก ษ าห น้ า ที่ ลู ก คนที่เป็นพ่อแม่ก็รักษาหน้าที่ที่เป็นพ่อแม่ คนที่เป็นปู่ย่าตายายก็รักษาหน้าที่เป็นปู่ย่าตายยาย คนที่เป็นพี่ป้าน้าอาก็รักษาความที่เป็นพี่ป้าน้าอา แค่นี้แหละ คนที่เป็นครูบาอาจารย์ก็รักษาความที่เป็นครูบาอาจารย์ แค่นี้เองประเทศไทยเราเมืองสยามผู้ที่อยู่กันอย่างสันติสุข มีความสุข ไม่ทุกข์เลยจะเอ่ยบอก ไม่หลอกจริง หญิง-ชายเอ๋ย.








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทุกอย่าง.....ล้ ว น ส ม มุ ติ | Thai

คำว่า "ยก" | Thai