ทุกอย่าง.....ล้ ว น ส ม มุ ติ | Thai

ทุกอย่าง.....ล้ ว น ส ม มุ ติ 



๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ 

วันนี้จะบรรยายเรื่อง การสมมุติ

สมมุติที่ว่านี้ เริ่มจากการเริ่มต้นเลยก็คือ เรื่องจากการสมมุติโลกนี้ขึ้นมา 
สมมุติต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา และแล้วก็ได้สมมุติโลก สัตว์นานาชนิด พร้อมด้วย มนุษย์ พราหมณ์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และ เทวดาเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
สิ่งต่าง ๆ ในอเนกชาติ ภพชาติ ทั้งหมด ล้วนแต่สมมุติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ในสภาวะโลกนานาชนิดนี้ ที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น 
            ดินทลาย อีกหน่อยก็หาย 
            ฝนตก อีกหน่อยก็ซา ฟ้าร้อง อีกหน่อยก็หมด 
            แดดส่อง อีกหน่อยก็ชิงพลบ 
            กาลเวลานำมาซึ่งความสมมติทั้งสิ้น 

สมมุติ..คนเรานั้น..สมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เดี๋ยวเป็นพ่อ เดี๋ยวเป็นแม่เดี๋ยวกลับมาเป็นลูก เดี๋ยวกลับเป็นพี่ เดี๋ยวเป็นน้อง สมมุติกันชั่วกัป ชั่วกัลป์ ชั่วอเนกชาติ กลับเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ สมมุติแล้ว สมมุติเล่า จนในที่สุดก็ไม่หยุดในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย สูงที่สุด ต่ำสุด และในที่สุดก็คือ สภาวะกรรมนั่นเอง 

ก ร ร ม บนโลกใบนี้ มันเป็นกรรมอันเดียวกัน จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ จะเป็นเศรษฐี ยาจก จะเป็นคนเก็บขยะ หรือจัณฑาล ขอทาน แม้นแต่จะมีเศรษฐกิจดี หรือจะมีความร่ำรวย สวย หล่อ สักปานใด ก็หาอะไรที่จะเป็นหลักความจริงจากความสมมุติไม่ได้ 

แม้นจะ สวย รวย หล่อ อีกหน่อยก็ต้องสูญสลายไป 
ความสวย รวย หล่อ ทั้งหมดนั้น อีกหน่อยก็จะจากไป 
จะมีเงินสักร้อยล้าน พันล้าน สิ่งนั้นก็จากไป 
เมื่อกายสังขารถึงเวลาแตกดับ 

เพราะฉะนั้นผู้เขียนถึงได้ถือว่า สิ่งทั้งหมดนั้นล้วนแต่สมมุติทั้งสิ้น สมมุติมา สมมุติไป กลับเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ณ.ตลอดเวลา ก็คงไม่ผิดอะไรกับโลกใบนี้ ก็มีความสมมติชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวหมอกลง เดี๋ยวหิมะตก เดี๋ยวน้ำแข็งละลาย ก็นำมาซึ่งความสมมติทั้งสิ้น 

ก็สิ่งทั้งหมดนั้นในที่สุดมันก็สูญสลายไป จากน้ำแข็งละลายเป็นน้ำ จากน้ำตั้งไว้นานก็จะระเหยและก็จะเหือดแห้งไปฉันใด ทุกสิ่งอย่างที่มันหมุนโคจรไปในสังสารวัฏนี้ มันก็ล้วนแต่สมมุติทั้งสิ้น 

                   แล้วทำไมมนุษย์โลกถึงสอนไม่จำ 
พูดง่าย ๆ ว่าตำเท่าไหร่ก็ไม่แหลก เพราะดื้อด้าน สอนยาก เพราะมันมากด้วยมิจฉาทิฐิ 

ไม่ว่าจะเป็นระดับไหน จากผู้ใหญ่ไล่ลงมาจนเด็กอ่อนที่มันนอนอยู่ในแบเบาะก็มีความทุกข์ สูงแค่ไหนจนถึงดาวอังคาร ดวงจันทร์ก็มีความทุกข์ เนื่องจากว่ามีการสมมุตินั่นเอง สมมุตินั่น สมมุตินี่ สมมติว่าอย่างงี้ อย่างงั้น ก็ไม่ต้องไปเปรียบอะไรมากมาย 

            ก็เหมือนที่คนทำกับข้าว 
            มีเตาอยู่ ๑ อัน ก็สามารถที่จะดัดแปลงกับข้าวนั้น 
           ได้เป็นร้อย เป็นพันชนิดก็ได้ฉันใด 
            ความสมมติทั้งหลายก็ฉันนั้น 

เพราะฉะนั้นต้องมาวิเคราะห์ วิจัยให้ดี ๆ เถิดว่า ทุกข์อะไร เดี๋ยวก็หาย สุขอะไร เดี๋ยวก็หาย ความสุขหรือความทุกข์นั้นมันก็สมมติตั้งแต่เกิดจนแก่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จักขวนขวายในจิตใจ ไม่รู้จักขวนขวายในการปฏิบัติ ไม่รู้จักขวนขวายในการแยกแยะ ไม่รู้จักแกะ ไม่รู้จักลอกดู ไม่รู้จักเปิดดู ก็ไม่รู้ว่าสิ่งสมมตินั้น ๆ มาจากไหน 

มันก็มาจากสันดานจิตใจที่มันห่อหุ้มมาแต่กำเนิดเกิดมาตั้งแต่ภพชาติ อเนกชาติ ตั้งไม่รู้กี่ร้อย กี่พันชาติ เพราะมันยังไม่หลุดเป็นพระพุทธเจ้า มันก็ยังเวียนว่ายอยู่ในอเนกชาติ 
เหมือนเรือที่ข้ามฟากแล้ว ก็กลับมาอยู่ฉันนั้นร่ำไป เปรียบง่าย ๆ 

เหมือนเรือเฟอร์รี่ ที่ข้ามฟากจากดอนสักไปเทียบท่าที่เกาะสมุย ก็คงจะข้ามไปข้ามมาเช่นเดียวกัน 

เพราะฉะนั้น อเนกชาติ ภพชาติ ก็เช่นเดียวกัน สมัยเดี๋ยวนี้ต้องพูดอย่างนี้ถึงจะเข้าใจในหลักความจริง เพราะสิ่งสมมตินั้น ๆ ถ้ายังไม่หลุดพ้น มันก็ย่อมกลับลงมาอีกฉันใด เหมือนบุคคลขึ้นรถเมล์ไปทำงาน เย็นก็ต้องขึ้นรถเมล์สายเดิมกลับมาบ้านฉันใด 

         การเวียนว่ายตายเกิดถ้ายังไม่พ้นเอนกชาติ ภพชาติ
         แล้วละก็มันก็ต้องกลับมาตรงเดิมอีก 
         ก็คือกลับมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย 
         มาสมมุติไม่จบ ไม่สิ้น ดิ้นกันไม่นับ จับกันไม่ถูก

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงสอนให้รู้จักการ”ละ” การวาง ให้เบาบางจากความสมมติทั้งหลาย        ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูกเมีย สามี ภรรยา เรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันมีการสมมติขึ้นประเดี๋ยว ประด๋าวเท่านั้น 

เหมือนคนสมมุติแต่งงานมีครอบครัว อีกหน่อยก็จะต้องมีลูก เมื่อมีลูกแล้ว เมื่อตั้งครรภ์แล้ว แน่นอนล่ะ สมมติอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน แล้วก็เลื่อนออกมา แล้วต้องสมมติเดิน สมมติวิ่ง ทุกสิ่งอย่างมี 
น า ม ส ม มุ ติ ทั้งสิ้นเลย อันนี้จะเอ่ยบอกให้ครอบคลุมทั้งจักรวาลนี้ 

สิ่งทั้งหมดมันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น จะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ มันอยู่ในอาการดังเช่นนั้น ๆ มันก็สมมุติมา สมมุติไป พอถึงเวลาอายุขัยของมันมาถึง สิ่งสมมตินั้นก็หายไปชั่วพริบตาฉันใด มวลมนุษย์โลกทั้งหลายก็ฉันนั้น ไม่มีอะไรที่จะหนีจากการสมมตินี้ไปได้ 
สมแล้วก็เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า สิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปฉันใด การสมมตินี้ก็เช่นเดียวกัน แม้นได้มาอีกหน่อยก็เสียไป ได้อะไรมาก็เสียนั้นไป แม้นแต่เราได้ร่างกาย ได้หน้าตา ได้ชื่อเสียง ได้เกียรติยศ ได้นั่น ได้นี่ที่มันสมมุติมา ในที่สุดไม่ช้ามันก็สลายไป โดยที่ใคร ๆ ก็เป็นเจ้านายมันไม่ได้ 

โดยใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของมันไม่ได้ อันนี้แหละ เพราะความสมมุติอันนี้ทำให้มวลมนุษย์โลก ต้องวิ่งกันจาระหวั่น พันกันไปทั่วหมด 

สมมุติอยากได้ดินแดน อยากเป็นเจ้าของแคว้นเพียงผู้เดียว สมมุติฆ่าคนอื่นเพื่อจะแย่งตำแหน่งเขา สมมุติฆ่าบุคคลอื่น ทำร้ายเขา เพื่อจะได้ภูมิประเทศของเขา ในที่สุดสิ่งนั้น ๆ ก็เน่าเปื่อย แล้วก็ผุพังยั้งไม่อยู่ 

อันนี้ผู้รู้ทั้งหลายก็น่าจะเข้าใจ ................
ก็ลองมาพิจารณาเถิดว่า สิ่งสมมุติทั้งหลายนั้นเกิดจากไหน ? มันก็เกิดจากบ่อเกิดแห่งความอยากใน อเนกชาติ ,ภพชาติ ที่มันยังไม่เล็ดลอด หลุดลอดออกไปจากบ่วงมาร บ่วงอวิชชา บ่วงทิฐิ มีมิจฉาทิฐิแฝงอยู่ มันก็เลยไม่รู้ มันก็เลยใช้ภพแล้ว ภพเล่า ใช้จนไม่รู้จักจบจักสิ้น ในที่สุด เกิดขึ้น แล้วดับไป เกิดขึ้น แล้วดับไป ล้วนแต่สมมติมาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น วัน เดือน ปี นับตั้งแต่รอบหนึ่ง หนึ่งรอบคือ ๑๒ ปี ก็นับเฉลี่ยรวมแล้วก็เป็น ๑๒ ปี จะ ๑๒ ปี หรือ ๑๒ เดือน หรือ ๑๒ วัน อันนั้น หรือ ๑ อาทิตย์ ๑ วัน อันเดียวกันหมดเลย เพียงแต่คนทั้งหลายเอามันมาเอ่ย มาสมมติ มาจัดตั้งให้มันเป็นกฏระเบียบ เหมือนผู้ที่เป็นนักเรียน เรียนจากอนุบาล เลื่อนขึ้นมาเป็น ป.๑ ป.๒ ถึง ม.๖ ยกไปถึงมหาวิทยาลัย สมมุติไปจนถึงด๊อกเตอร์ แล้วก็ย้อนลงกลับมาทำงานอีกจนถึงเกษียณ แต่ในที่สุดสิ่งสมมุตินั้น ๆ ก็เวียนกลับมาอยู่ที่เก่า ก็คือต้องปลดเกษียณ แล้วก็ต้องอยู่แบบเด็กเหมือนเดิม กลับมาอยู่บ้านเหมือนยังอ่อน 

                         แต่สิ่งที่รอคือ รอสมมุติตาย 

เมื่อตายไปแล้ว ถ้าจิตนั้นไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรม ไม่ทำบุญสุนทาน ไม่เคยเคารพนอบน้อมในกฏไตรลักษณ์ กฏแห่งธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็จะต้องมาเกิดอีก 

ก็คือมาสมมุติอีก มาสมมุติอีก มากินของเก่า กลับมาอยู่ที่เดิมอีก เหมือนขี่เรือกลับไปฝั่งเกาะสมุย พอตอนเย็นก็กลับมาฝั่งดอนสัก สุราษฎร์เหมือนเดิม 

อั น นี้ ก็ น่า คิ ด เพราะการเปรียบเปรยอย่างอื่นทุกคนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะคนทุกวันนี้นั้น "มันมืด" 

คนทุกวันนี้มันมืดมาก   มืดยิ่งกว่ามืดกลางคืนเสียอีก 
กลางคืนมืดพอยังจะเห็นเงาลาง ๆ 
แต่มืดจิตใจคนนั้น ยิ่งกว่าอยู่ในบ่อสร้าง 
ยิ่งกว่าอยู่ในอุโมงค์เสียอีก เพราะว่ามันมืดสนิทเลย 

หาทางไปไม่ถูกนั้นคือ จิตมืด จิตบอด กอดแต่ความโสมม ตมสมมติอยู่นั่นแหละ แกะก็ไม่ออก ดึงให้มาอยู่ที่แจ้งก็แกล้งว่าไม่จริง    อันนี้ก็น่าคิด เพราะคนทุกวันนี้วิ่งไปหาแต่ความมืด พอเจอคนมีปัญญาดึงออกมาไว้ที่แจ้งหน่อย ก็หาว่าสิ่งนั้นแหละไม่ดี แกล้งสมมติ ที่จริงนั่นแหละเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะดึงออกจากชักรอกจากที่มืดให้มาอยู่ที่สว่าง ให้เบาบางจากกิเลสทั้งหลาย ที่มันเกาะแขวนเป็นอุบายหลอกให้พวกเธอทั้งหลายตกลงไปใน"บ่วง" 

บ่วงที่ว่านี้ก็เป็น บ่วงสมมติ บ่วงตัณหา กิเลส อุปาทาน บ่วงอยากได้ อยากมี อยากดี อยากเด่น อยากเป็นคนใหญ่คนโต อยากเป็นคนโต โชว์โอ้อวด โอ้อวดหน้า โอ้อวดตา โอ้อวดทรัพย์ แต่ก็อับในปัญญาตัว  

พวกเหล่านี้มีเยอะเกลื่อนในโลกใบนี้ เต็มไปหมด หน้าตามันอยู่ที่ไหน พ่อแม่ให้มาแล้ว แล้วศักดิ์ กับ ศรี ที่ว่านี้มันอยู่ที่ไหน มันก็ ส ม ม ติ มาทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะเอาดิ้นเงิน หรือดิ้นทอง เอามาแปะแขวนบนบ่า แขวนบนหัว สิ่งนั้น ๆ ก็สมมติมาทั้งสิ้น ทุกคนนั้นไม่ค่อยจะเข้าใจในหลักธรรม ไม่เข้าใจในหลักคำสอน ไม่เข้าใจหลักคำพูดนั่นเอง พูดแล้วก็หาว่าพูดมาก 

พูดแล้วก็หาว่าพูดไม่จริง   แล้วจริง ๆ ที่ว่านี้มันอยู่ที่ไหน เพราะพวกอวิชชาจริง ๆ ที่ว่านี้ก็คืออยากได้ของคนอื่น มัวแต่ไปโลภ มัวแต่ไปคอรัปชั่น มัวแต่ไปตีกัน มัวแต่ไประเบิดกัน มัวแต่ไปแย่งชิง อยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง พวกนี้เรียกว่าพวกมิจฉาทิฐิ พวกนี้เรียกว่าอยากได้ของเขาเอามาเป็นของตัวเอง พวกนี้มืดมาก แถมให้ก็คือบาปหนา ไม่รู้ค่าของตัวนั่นเอง ก็สมมติคิดว่าของคนอื่นเป็นของตัวเอง ไปเป็นนักเลงต้องฆ่าเขา ไปคอรัปชั่นเขามา ไปแบ่งปันเอาของเขามาเป็นของตัวเอง อย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่มีศักดิ์ กับ ศรี ผู้ไม่มีจรรยาบรรณในตัวเอง คนนั้นแสดงว่าไม่รักเกียรติยศของตัวเอง เกียรติ์ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ เกียจคร้าน ไปแย่งเอาเกียรติ์คนอื่นเป็นเกียรติ์ตัวเอง ไปสมมติของคนอื่นมาสมมติเป็นของตัวเอง พวกนี้ก็จัดได้ว่าใช้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าไม่ใช่ของตัวเอง จะไปชื่นใจได้ยังไง จะดีใจได้ยังไง อีกไม่นานสิ่งนั้น ๆ ก็เจ้าของเดิมเขาก็พากลับ อย่างนี้มีนับไม่ถ้วนทั่วสากลโลกนี้ 

เพราะฉะนั้นโลกใบนี้มีการสมมติของมันอยู่แล้วเนือง ๆ มีดิน มีน้ำ มีลม มีไฟ มีต้นไม้ มีสัตว์นานาชนิด พวกเราเป็นมนุษย์ก็มาร่วมกันเป็นตรงนั้นด้วย แต่เราเป็นสัตว์มนุษย์ที่ค่อนข้างจะประเสริฐ แต่เดี๋ยวนี้หายาก ใช้คำว่าประเสริฐเดี๋ยวนี้หายากมาก 

เพราะโดยมากนั้นมีแต่คนลืม ลืมตัว ลืมตน ลืมคำว่า"คน"เลยจนใจ ลืมคน ก็ให้คนที่ไหน คนที่จิต คนที่ใจ ถึงได้แต่งตั้งความหมายว่าคน คน คน เกิดมาเป็นคนให้..ค้นจิต ค้นใจ   สิ่งที่สมมตินามมานั้นน่ะ ให้ค้นออกดู ว่าจริงที่แท้จริงนั้นมันเป็นตัวตนหรือไม่ เอาออกมาดูจะได้รู้จะได้เห็น จะได้เป็นอย่างที่ว่า 

จะได้เป็นผู้ที่รู้ค่าของตัวตน เอามาค้นดู รู้แล้วยังเกิดมาจะต้องตาย คนโดยมากพอพูดเรื่องตายแล้วโกรธ โกรธมาก หาว่าสาปแช่งบ้าง หาว่าพูดไม่เป็นศิริมงคลบ้าง บางคนถึงกับวิ่งไปหาหมอดูกลัวจะตาย กลัวจะเป็นเรื่องร้าย จะต้องตายในชีวิต อันนี้ก็น่าสมเพช น่าเวทนามาก พวกนี้ไม่เข้าใจเรื่องตายนั่นเอง ถึงได้วิ่งไปขอให้ดวงช่วย ไปสะเดาะเคราะห์ ไปต่อกรรม ไปช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เขาช่วยสะเดาะเคราะห์ แล้วลืมมองไปลึก ๆ ว่า แล้วคนที่มันสะเดาะเคราะห์ คนต่ออายุให้เราน่ะ เขาจะอายุถึงหมื่นปีหรือ ไม่ใช่หรอก อายุเขาจะถึงร้อยปีเหรอ ก็มันไม่ใช่ ทุกอย่างงมงายหมด ทุกอย่างสมมุติหมดเลย ถ้ามีความสมมติกันอย่างนี้แล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่รู้จักธรรมแท้น่ะซิ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักทำที่ตัว ที่จิต ที่ใจ ไม่รู้จักใช้กฏกรรไกรของศีลห้าให้ถูกต้อง อย่างศีลห้าที่ว่านี้ ก็ไม่ใช่จะต้องเอามาแบก อุ้มมันไว้ ไม่ใช่ ศีลที่ว่านี้ ศีล ศีลปาวาท หรือ ศีลห้า ในฆราวาส ให้ดูแลศีลดี ๆ ที่ว่านี้ก็คือ อย่าฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต อย่าโกหก อย่าลัก.. อย่าขโมย อย่าไปกินเหล้าเมาบุหรี่ อย่าไปเอาเมียคนอื่นเขา ก็คือกาเม อย่าไปเอาเมียคนอื่นเขา อย่าไปเอาผัวคนอื่นเขา อย่าไปแย่งเอาของที่เขามีเจ้าของเอามาใช้ อันนี้มันเป็นบาป เป็นกรรม พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้น อย่าไปดื่มของเมา อย่าไปเขลา อย่าไปเข้าในผับในบาร์ โรงน้ำชา หมอนวด อย่าไปกวดขันในสิ่งนั้น ๆ มันผิดวินัยคือ ศีลห้า อย่าฆ่า อย่า คอร์รัปชั่น อย่าโกหก อย่าลัก อย่าขโมย อย่าไปเอาของคนอื่นมาชื่นใจว่าเป็นของตนเองอย่างนี้เป็นต้น อันนั้นมันผิดศีลห้าน่ะ เพราะฉะนั้นการครองศีลห้า จะต้องถือพวกนี้ให้ได้ ถือการลัก การขโมย ถือในเรื่องพูดจาส่อเสียด ถือในเรื่องพูดโกหก ถือในเรืองไปลักขโมยเขา ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไปผิดลูกผิดเมียเขา ไปแย่งชิงเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเองอย่างนี้เป็นต้น ไปเบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้เป็นต้น ไปเอาของคนอื่น ไปแย่งชิง ไปลัก ไปขโมย ไปฉ้อโกงเขามา อันนี้แหละ ผิดแน่ ๆ ศีลห้า แต่ถ้าบุคคลผู้ใด ที่มิได้ทำเช่นนั้น ผู้นั้นก็จัดได้ว่าอยู่ในศีลห้าเจริญ ก็คือพูดจาดี ทำงานดี เลี้ยงชีพดี ประกอบสัมมาอาชีพ พูดจาไพเราะ ฟังเสนาะหู มีการอยู่เลี้ยงชีพอย่างพอมีพอใช้ 

ก็เรียกว่าอยู่อย่างสมถะ มีน้อยใช้น้อย อยู่ใช้จ่ายอย่างพอดี 

                                ชีวิตนี้ก็ไม่เป็นหมัน 

เพราะว่าอยู่ในขันธ์ห้านั่นเอง อยู่ในศีลห้า ขันธ์ห้าคือร่างกาย องค์ธรรมประกอบก็คือร่างกาย นับตั้งแต่เส้นผม ถึงเล็บ มีองค์ประกอบ มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มีครบองค์ประกอบ มีแขน ขา ก้าวย่างเดิน มีร่างกาย อันนี้ สิ่งนี้ ๆ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น 

พ่อ-แม่สมมติมาให้ทั้งนั้น ส่วนศีลห้าที่ว่านี้ก็ต้องเอามาใช้ พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เอามาใช้ แต่ไม่ใช่เอาไปห่อไว้ในผ้า มันไม่มีศีลห้า เอาไปห่อไว้ในผ้าหรอก จะบอกให้ ศีลห้านั้นอยู่กับตัวเรานั่นแหละ ถ้าตัวเราไม่ไปประพฤติกาม ไม่ไปตามที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ศีลห้าก็อยู่ครบ ก็ดูแลตัวเราให้ดี ดูแลร่างกายให้ดี ตรวจตราดูแลใจให้ดี ดูแลทรัพย์ภายใน คือใจ นั่นเอง 

ถ้ารู้จักกั้นรั้ว..เอารั้วดูใจ...เอารั้วดูจิต...เอารั้วดูให้หมดในร่างกาย ดูจิตปัญญา มีจิต มีสติ มีปัญญา ตรวจตราสอดส่องดูภายในใจ ดูตัวเองดีแล้ว อันนี้จะเป็นเกราะกำบัง ศีลห้านั้นก็จะไม่ต้องรั้งไปไหน ก็อยู่ครบ อันนี้ก็พากันขบให้แตกด้วย แยกให้เป็นด้วย สอนเท่าไหร่ สอนมากี่เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยจำ 

เพราะคนทุกวันนี้มันกำแต่ของกู รู้แต่กูนั่นดี กูนั่นเด่น กูนั้นเป็นได้ ความหมายอันนี้มันมีตัวสมมติมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เอนกชาติ ภพชาติ ตั้งแต่ชาติไหน ๆ ตั้งแต่มันเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่แสน กี่พันครั้ง มันก็เลยมาสมมติที่เดิม ๆ ก็เรียกว่ามาสมมติที่เดิม ๆ จะหาใครมาช่วยเติม ช่วยแต่งก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักแกะแบ่งเวลา ไม่รู้จักแยกแยะนั่นเอง ก็ลงมาสมมติอีก ไปกี่ครั้งลงมาสมมติอยู่ที่เดิม ๆ กลับมาแต่งงาน กลับมามีครอบครัว กลับมามีนั่น มีนี่ กลับมาสร้างฐานะ 

                        ต่อให้ตึกบ้านสูงสักร้อยชั้น พันชั้น 
                        อีกหน่อยมันก็ต้องพังเสื่อมไปตามกาลเวลา 
                        เพราะสิ่งนี้มันสมมติขึ้นมาทั้งนั้น 
เอาหิน เอาดิน เอาทราย เอามาผสมกัน มีพวกเหล็กไม้ สมมติขึ้นมาเป็นอาคารบ้านเรือน สมมติขึ้นมา ก็คนเป็นตัวสมมติ ผู้นั้นเป็นผู้ทำ เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายทุกวันนี้มันถึงได้โง่ ดักดาน คิดว่าเก่งไปจากสิ่งทั้งหมดแล้ว แต่แท้ไม่เก่งกว่าการสมมติคือ ความจริง ในที่สุดก็พังทลาย หายนะไปกับกาลเวลา 

                  เพราะฉะนั้นกาลเวลานี้ไม่มีการสมมติ 
                  มี ร า ค า ม า ก อัพยาคือเวลา มัจจุราชคือเวลา 
                  เวลามัจจุราช หรือเวลานี้สมมติมาตรงแน่นอน 

ทำไมผู้เขียนถึงเอ่ยเช่นนั้น เพราะว่าทำงานมาตรงเวลามาก ถึงเวลาใครหนีไม่พ้น มันต้องโค่นเข้า ถึงเวลาวงจรมาถึง ดึงมาไม่อยู่หรอก เหมือนวงจรปิด วงจรปิดบันทึกไว้ ในที่สุดก็ต้องจับผู้ร้ายได้ฉันใด มัจจุราช หรือ อัพยากาลเวลา ทั้งหมดก็เช่นเดียวกัน 

ไม่มีใครหนีพ้นแม้นแต่รายเดียว สิ่งสมมติอันนี้อย่าเฉลียวใจ มองไปให้กว้าง ๆ รอบโลกจักรวาล ในโลกมนุษย์ที่เราอยู่ทุกวันนี้ มาเกิดกี่ครั้ง มาตายกี่ครั้ง วันหนึ่ง ๆ ดึงไม่ถูก ไปดูที่โรงพยาบาล บางคนอุ้มท้องไปจะไปฝากครรภ์ บางคนนั้นเอาศพออกมาเพราะมันตาย บางคนพึ่งจะไปเกิด บางคนเกิดออกมาแล้ว อันนี้ก็ชุลมุนวุ่นวาย ก็มีเกิดตาย เกิด-ตายอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ ก็ไปลองไปวิเคราะห์ดู 

เพราะฉะนั้นโลกใบนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากโรงพยาบาล 
โรงพยาบาลนี้เหมือนกัน นั้นก็เป็นที่เวียน ว่าย ตาย เกิด  แต่ทุกคนไม่ได้พิจารณา ไม่ได้วิเคราะห์ถึงหลักความจริง ไม่ได้ดู แน่ว่าไม่ได้ดู ไม่ได้ดูว่ากูสักวันหนึ่งก็ต้องโดน ไม่ได้ดูตรงนี้ 

ดูแต่ผู้อื่นลืมดูตัวเอง วิ่งไปดูแต่หมอดู แต่ไม่ดูตัวเองอย่างนี้เป็นต้น ไปดู ไปดูซิ จะได้รู้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นน่ะ มันเวียนว่ายอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน เมืองไหนในสังสารวัฏโลก โลกนี้มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ 

ต่อให้ขึ้นไปอยู่ที่บนห้วงไหนของโลกล่ะก็
ไม่สามารถหนีพ้น มันต้องโดนความสมมติตายนั้นมาถึง 

เมื่อมีสมมติเกิด...ก็มีสมมติตาย สมมติมีภรรยาสามีได้ ก็อีกหน่อยก็สมมติมันก็คือตาย สมมติมีลูกได้ก็ตาย มีอะไร ๆ ความตายนั้นแต่งตั้งเที่ยงตรง ตรงเวลามาก ต่อให้ตกเครื่องบิน ถ้าดวงยังไม่สิ้นกรรมยังไม่หมด มัจจุราชหรือเวลาก็ยังไม่เอาไป คนนั้นก็ยังรอดมาได้ แต่ก็อย่าพึ่งดีใจ เพราะว่าอีกหน่อยก็จะต้องถึงวันไปจริง ๆ 

อันนี้ก็น่าคิด แม้นผู้เขียนเองสักวันก็จะต้องตาย เพราะทุกวันนี้กายก็ไม่ค่อยสบายอยู่ ความตายนั้นผู้เขียนก็ไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธว่าไม่ตาย ผู้เขียนก็รออยู่ทุกวันว่าจะต้องตายแน่ ๆ 
                 
                             ความตายนั้น
                          ไม่ได้เคาะประตูเรียก 
                          ไม่ได้แขวนป้ายบอก

เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายที่เกิดมาสมมติทุกวันนี้ สมมติหลอกตัวเองทั้งนั้น หลอกตัวเองอยากหาทรัพย์ได้มาก ๆ หลอกตัวเองหยิ่งว่า กูเป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของบ้าน เป็นลูกเศรษฐี หรือเป็นสะใภ้เศรษฐีอย่างนี้เป็นต้น ทำเป็นอวดพูดดี โถ ! สิ่งนี้ ๆ มันก็สมมติทั้งสิ้น จะเป็นสะใภ้นายก จะเป็นสะใภ้ราชา จะเป็นสะใภ้อภิมหาเศรษฐี หรือจะเป็นสะใภ้นอกประเทศ,ต่างประเทศ ก็ล้วนแต่สมมติทั้งสิ้น จะเป็นสะใภ้อะไรก็แล้วแต่ จะเป็นสะใภ้เจ้าเมือง จะเป็นสะใภ้อะไรก็แล้วแต่ อันนี้ก็น่าคิด ไอ้พวกที่เป็นสะใภ้ทั้งหลาย น่าจะคิดพิจารณาตัวเองให้ดี ๆ ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่สมมติ เธอจะเป็นสะใภ้อะไร ชีวิตเธอก็อยู่ในการสมมติไม่ถึงร้อยปี อยู่ในการสมมติไม่ถึงร้อยปี ชีวิตนี้ต้องแตกดับ ดับก็คือตาย ตายกายก็ไปเป็นดิน 

               ความสมมตินั่นก็สิ้นลงที่ดิน สิ้ น ล ง ที่ ดิ น 

ถ้าเธอนั้นทำกรรมชั่ว ยั่วยวนในกิเลส เธอก็ต้องกลับมาเกิดอีก ต้องชดใช้กรรมที่เธอสมมติมานั้นสองสามเท่าทีเดียว อันนี้ก็น่าจะเฉลียวใจ 

พวกที่ทำชั่วทั้งหลายหัดสมมติกายทำดี มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รู้จักทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างพอดี มีน้อย ใช้น้อย ใช้จ่ายให้พอดี มีชีวิตพอประมาณ อันนี้ผู้ปฏิบัติงานหน้าที่ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน อย่าโลภมาก การทำงานนี้ถ้าว่าเหนื่อย มันก็เหนื่อย ทุกคนเกิดมามันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว แค่อาการเกิดมันก็เหนื่อยอยู่แล้ว ทำงานมันจะต้องเหนื่อยทุกคน 

ตราบใดที่สังขารนี้ ร่างกายนี้ยังอยู่กับตัวเรา จิตวิญญาณมันยังอยู่ มันยังมีความรู้สึกนึกคิด มันยังกิน ยังหา ยังหลับ ยังนอน การทำงานมันก็ต้องมีเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้แหล่ะนำพามา 
ฉะนั้นมวลมนุษย์โลกทั้งหลายที่มีกายสมมติทั้งหมดนี้ รวมโดยเฉลี่ยแล้วก็ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนล้านคน อันนั้นก็ต้องโดนความสมตินี่เอาไปใช้ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว สรรพสัตว์ทั้งโลกใบนี้ มันมีแต่เรื่องสมมติทั้งนั้น ไม่มีเรื่องอื่นเลย เราลองมองดูดี ๆ จะเป็นเจ้าของห้าง จะเป็นเจ้าของบริษัท หรือจะเป็นหัวหน้าบริษัท จะเป็นหัวหน้าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำปฏิบัติหน้าที่อยู่ในดินนี้ ล้วนแต่เป็นการสมมติทั้งสิ้น 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่หลงประเดี๋ยวประด๋าว ล้วนแต่เป็นการสมมติ ก็คือ กิเลสนั่นเอง มิจฉาทิฐินั่นเอง หยิ่งผยอง จองหอง คิดว่าตัวเด่น เป็นนั่น เป็นนี่ แท้ที่จริงไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง สมมติอำพรางตัวเท่านั้นเอง อีกหน่อยก็ต้องตาย บางคนถึงกับชิงบัลลังก์ ชิงทรัพย์ ชิงอำนาจ ชิงบ้าน ชิงเมือง ชิงประเทศ ชิงผืนแผ่นดินนี้ ชิงแม่น้ำ ชิงไปทุกอย่างเลย แล้วในที่สุด สิ่งนั้น ๆ ก็จะหยุดลง เมื่อมันถึงสูงที่สุด ปัญหาที่มันเกิดขึ้น ในที่สุดมันก็สูญไป เมื่อไปแล้วถ้ามันยังไม่สิ้นสุดมันก็กลับมาใหม่ 

เหมือนแผ่นดินไหวตลอดเวลา เนื่องจากมันคงบอกว่า 
"ข้าทนไม่ไหวแล้ว" ก็พวกเธอทั้งหลายนั้นใช้เรามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องลม เรื่องไฟ ทุกสิ่งอย่างมนุษย์โลกเอาไปใช้เกิน เกินประมาณ เขาเรียกว่าเกินงบประมาณ มันย่อมจะต้องตายลงสักวันหนึ่ง 

เหมือนต้นไม้ที่ต้องโดนปัก โดนเด็ดทุกวัน การผลิตดอกผลิตผล มันย่อมไม่ออกฉันใด แผ่นดินนี้ก็เช่นเดียวกันที่มันหวั่นไหว 
ก็เพราะมันจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าคนมันใช้เกิน ใช้เกินจนกลวงหมด 
ในที่สุดพวกเธอทั้งหลายก็คงได้รับกรรมตามที่มันเป็นมา ที่เห็นกันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปเตือนที่ไหน สมัยพุทธกาลนั้นแผ่นดินไม่ค่อยไหว น้อยนักที่จะไหว มีแผ่นดินน้ำท่วมเมื่อครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้านั้นทรงโดนพญามารรุมเร้ามาก แม่ธรณีถึงได้บีบมวยน้ำนั้นไหล เพื่อจะท่วมพญามารให้หมดที่มันมายั่วยวนพระพุทธเจ้า 

แล้วดูเถิดว่า แม้นแต่พระแม่ธรณีเป็นเจ้าของแผ่นดิน เขายังนอบน้อมเคารพพระพุทธเจ้า แม้นพญานาคที่อยู่ใต้บึงบาดาลเขาเคารพพระพุทธเจ้า ขึ้นมาสูงสุด ก็มวลมนุษย์โลกนี้ก็เคารพอินทร์ พรหม เทวดา มาร มนุษย์ ให้รู้ตามก็เคารพพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้สี่ห้าปี หรือ สิบ ยี่สิบปีมานี้ไม่ค่อยพากันเคารพ จิตใจมันแห้งแล้งมันกันดาร มันไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เอาคำสั่งสอนของพระองค์มาเคารพมานอบน้อม 

บัดนี้ผู้ที่เคารพพระพุทธองค์ก็ย่อมพิโรธเป็นธรรมดา ฝนก็ตก แดดก็ร้อน น้ำก็ท่วม แผ่นดินก็ไหว เพราะอะไร เพราะพวกเธอไม่เคารพในสัจธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า   พระองค์นั้นทรงสอนให้เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สอนให้เห็นกายสมมตินี้ถูกต้อง พระองค์นั้นสอนมาตลอดเวลา พระองค์ไม่เคยมีเงินเดือน ไม่ได้มีค่าสินจ้างอะไรทั้งสิ้น แต่พระองค์มีความกรุณา เมตตา สูงสุดหาประมาณหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะว่าสูงมาก เพราะพระองค์มีความมั่นพระหทัยที่สุดว่า ภายภาคหน้าอนุชนคนรุ่นหลังจะต้องได้ฟัง ได้ยิน 

แต่ในที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคารพ ไม่นอบน้อม โลกใบนี้มันถึงได้อาจิณนัก ภูเขาไฟระเบิด ภูเขาน้ำแข็งละลาย ภูเขาโคลนทะลาย ดินหวั่นไหว น้ำกระเฟื่องไปทุกหย่อมหญ้าทั่วสากลโลกนี้ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายผู้ที่เคารพพระศาสดานั้นลงโทษ ลงโทษผู้ที่ดื้อ ที่ไม่เชื่อฟังในคำสั่งสอน ผู้ที่ไม่เข้าใจนั่นเอง เพราะฉะนั้นพวกมนุษย์ทั้งหลายจงมาเข้าใจเถิดว่า ความสมมติทั้งหลายทั้งสิ้นนี้ มีเกิดขึ้นได้ ก็ตั้งอยู่ ดับไป แม้นแต่ร่างกายเรานี้แหละ ก็จะต้องดับไปในที่สุด แม้นผู้เขียนก็จะต้องตายในที่สุดมันหยุดไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงไม่มีใครดึงอยู่ 

เพราะฉะนั้นให้เธอทั้งหลาย จงมารู้ในการสมมติเอนกชาติ ภพชาตินี้ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน 
          ให้รู้จักตัด 
          รู้จักฟันมันออก 
          รู้จัก ลอกมันทิ้ง 

ชีวิตนี้จะได้อยู่เย็นเป็นสุข จะได้ไม่ต้องสุก ๆ ดิบ ๆ กรรมจะได้ไม่เกิดขึ้นมาก ชาติหน้าจะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม จะได้ไม่มาตำให้มันยุ่งเหมือนอย่าง
         
         ปัจจุบันนี้ที่เมืองใดเกิดเทคโนโลยีขึ้นมากเท่าไหร่ 
         ความหายนะก็ย่อมจะเกิดขึ้น 

เพราะคนเรานั้นมีความอิจฉา ริษยาแฝงสมมติอยู่ในกายตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปถามคนอื่นที่ไหน แม้นแต่พี่น้องในไส้เดียวกันก็เถอะ พี่ได้ดีน้องก็ย่อมอิจฉา น้องได้ดีพี่ก็ย่อมอิจฉา ถ้าไม่เรียนตำราธรรม 

แต่ถ้าผู้ใดรู้จักธรรมแล้ว ใครจะรวยล้นฟ้าก็ไม่อิจฉา ใครจะมีสักปานใดก็ไม่อิจฉา เราก็สรรหาอย่างที่เราพอมีพอได้พอใช้สอย อันนี้เขาเรียกว่ารู้ธรรม พอใจในสิ่งที่ตนมี ตนได้ อันนี้เขาเรียกว่ามีธรรม พอใจตามสติกำลังที่ตัวเองได้ อันนี้เรียกว่ามีธรรม รู้ค่าของตนเอง รู้กำลังปัญญาของตนเอง พวกเขาเหล่านี้จะไม่เป็นหมันเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่เป็นหมันเลยถ้ารู้จักเข้าหาพระพุทธเจ้าแล้วไม่เป็นหมัน ชีวิตไม่เป็นหมัน เป็นข้าวสารหว่านแล้วไม่เกิดก็ได้ในยุคไตรหน้า 

เพราะสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมันย่อมดับ ดับแล้วเกิดขึ้นอีก เพราะมันดับชนวนไม่หมด เมื่อชนวนไม่หมดจากกันไซร้ ก็คือ เวรกรรมนั่นเอง คือการสมมตินั่นเอง เอาไปโยนทิ้งที่ใดก็ไม่ได้ เพราะมันติดกายมาตั้งแต่กำเนิดเกิดอดีตชาติมาแล้ว ตามโลกใบนี้ ห้วงวัฏจักรนี้ ในภัยวัฏสงสารทั้งหลายนี้แหละ ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว มันก็อยู่ที่เดียวกันหมด 

ฉะนั้นขอให้เธอทั้งหลายที่เป็นผู้หญิงและผู้ชาย รู้จักกาย รู้จักตัว รู้จักค้นให้ดู รู้จักแยกแยะให้เป็นว่า สิ่งที่ผู้เขียนเขียนมานี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องแล้วก็ขอให้พวกเธอทั้งหลายได้ปฏิบัติเถิด สิ่งสมมติทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น สิ่งสมมติทั้งหลายนี้ก็จะมี แต่ก็ไม่นาน อายุขัยแต่ละคนมันถึงเวลาอวสานก็คือร่างกาย กระดูกต้องย้ายไปอยู่ในดิน เพราะสิ้นไปในที่สุด เราจะหยุดไม่ได้

แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ก็ทิ้งสรีระร่างกายไว้ในดินเช่นเดียวกันกับมนุษย์ทั้งโลก และเหมือนกันกับสัตว์ทั้งโลกที่ต้องตาย ก็ต้องเอากายไปไว้ในดินอยู่แล้ว ฉะนั้นในส่วนจิต และ วิญญาณนั้นไม่แล้วไม่ลงมาเกิดแล้ว ขึ้นอยู่บนสรวงสวรรค์นิพพานพลันไม่กลับมาอีก อยู่ที่เย็น สงบ อยู่ที่ไม่มีใครมารบกวน อยู่อย่างมีความสุขแล้วอย่างนี้เป็นต้น 
อันนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากภัยวัฏฏะทั้งหมด หยุดในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หยุดในการมาสมมติแล้ว 

ในที่สุดพระองค์ก็แจวจิต คิดการณ์ไกล 
          
           พระองค์เป็นข้าวสารหว่านไม่เกิดอีกแล้ว 
           ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีเชื้อ พระพุทธเจ้าไม่มีเชื้อ 
           ไม่ได้มาเกิดอีก 

แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์นั้นยังคงอยู่ ยังมีเชื้ออยู่ ยังคงอยู่ พระธรรมคำสั่งสอนยังอยู่ครบปกติ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นได้ ผู้ใดศึกษาผู้นั้นมี สิ่งนี้มันมีตลอดเวลาอยู่แล้ว 
เพราะฉะนั้นขอให้พวกเธอทั้งหลายจงหันหน้าเข้าหาพระไตรลักษณ์ หันหน้าเข้าหาสากาวพัฒน์ หันหน้าเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หันหน้ามาปฏิบัติธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเถิด แล้วพวกเธอทั้งหลายจะได้มีความสุข ความเจริญในกึ่งพุทธกาลนี้ ปี ๒๕๕๐ ปี ๒๕๕๐ 

เป็นปีกึ่งพุทธกาล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ๕,๐๐๐ปี พระศาสดาของพระองค์จะสิ้นสุด แต่บัดนี้ก็ล่วงเวลามาแล้ว ๒,๕๕๐ ปี เป็นกึ่งพุทธกาลพอดี เพราะฉะนั้นเหลืออีก ๒,๔๕๐ ปี 

จงมาช่วยกันเอาพระศาสนาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นให้ลุล่วงไปให้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามคำดำรัสของพระองค์เถิด พวกเราทั้งหลายจะได้ไม่เกิดพิษภัยอย่างทุกวันนี้... ...

จงหันหน้าเข้าหาพระสัจธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ พระองค์มีครบแล้ว พระองค์สอนถูกต้องถี่ถ้วนดีแล้ว พระองค์นั้นเป็นผู้ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในโลก เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มหัศจรรย์ที่สุดในโลกเหนือนับคณาไม่ได้ พระองค์นั้นจะหาสิ่งใด ๆ นั้นมาเปรียบปานไม่ได้เลย ฉะนั้นสัจธรรมของพระองค์นั้นเหนือสิ่งใด ๆ ในโลก พระองค์สอนให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งสมมติทั้งหลายดับไปความไหนๆก็ไม่เหลือ ฉะนั้นสิ่งนี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงตักเตือนให้มนุษยชนทั้งหลาย วิญญูชนทั้งหลาย จงอย่าได้ขาดสติ จงอย่าประมาทอย่าขาดสติ จงมาเดินตามมรรค ๘ ประการของพระองค์เถิด มาเคารพพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เถิด แล้วพวกเราทุกคนในโลกใบนี้ก็คงจะอยู่เย็นเป็นสุขชั่วกาลนาน จนสิ้น พ.ศ ๕,๐๐๐ ปี ตามรอยพุทธกาลที่เล่าขานกันมา เมื่ออดีตจนปัจจุบัน สิ่งนั้น ๆ ผู้เขียนเองก็ไม่สามารถที่จะไปถึงเพราะดึงไม่ติด เพราะไม่มีใครอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ยกเว้นว่าพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะอยู่ได้ 

พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นก็ต้องอาศัย ๔ประการ ก็คือต้อง
                  อาศัยภิกษุ 
                   อุบาสก 
                      อุบาสิกา 
                        ภิกษุ 
                          ภิกษุณี 
และมวลมนุษย์ทั้งหลายนั่นแหละจะช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนา เกื้อกูล บำรุง ช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนาจนถึง ๕,๐๐๐ ปีได้ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้ถึง ๕๐๐๐ ปี ก็ต้องอาศัยอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ที่จะต้องช่วยกันสานพระพุทธศาสนาต่อไปจนถึง ๕๐๐๐ปี 
             ณ.บัดนี้ก็กึ่งพุทธกาลแล้วคือ พ.ศ. ๒๕๕๐แล้ว 
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เหลืออยู่นี้ก็อยากจะให้ทุกคนทั้งโลกจงหันหน้าเข้าหาพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จะได้จตุรงค์พระพุทธศาสนาต่อไปให้ถึง ๕๐๐๐ ปี ตามความประสงค์ดี ปรารถนาดีของพระพุทธเจ้าที่ทรงเสียสละทั้งพระวรกาย เสียสละ อุตสาหะ พยายามเพียรมา แสวงหาโมกขธรรม เพื่อจะมาแจกจ่ายให้อนุชนรุ่นหลัง เพราะผู้เขียนก็คงไม่อยู่ถึง๑๐๐ปี ๕๐ปี ๗๐ปี อันนี้ผู้เขียนก็ไม่รู้ แต่อยากจะเตือนให้ทุกคนเข้าใจ ให้ทุกคนมาดูว่า ถ้าผู้ใดห่างเหินพระธรรมแล้วเป็นยังไงเล่า โลกาก็วินาศ มหันตภัยก็เกิดขึ้นต่าง ๆ นานาชนิด ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วโลก เพราะไม่ได้เคารพคำสั่งสอนที่ถูกต้อง ไม่ได้ดูกันที่ถูกต้องที่จิตที่ใจ เพราะไม่ได้สามัคคี พระพุทธเจ้านั้นสอนให้มีความเมตตามีความรัก มีความสามัคคี เกื้อกูล แบ่งปัน พระพุทธเจ้าสอนให้มีน้ำหนึ่งใจเดียว มีความสมัครสมานสามัคคีฉันท์พี่น้อง มีความรักเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ชีวิตนั้นสั้นทุกคน 

เพราะว่าไม่มีใครอยู่ถีง๑๐๐ปี ชีวิตนี้ใครอยู่ถึง ๑๐๐๐ ปีก็ไม่มี นอกจากความดีกับความชั่วที่จะต้องติดตัวสิ่งนั้น ๆ ตามไป 

เพราะฉะนั้น วันนี้เขียนเรื่อง ส ม มุ ติ ก็จะขอจบลงเพียงเท่านี้ พระศาสนาจะอยู่ได้ ก็จะต้องให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ช่วยกันสานพระศาสนาต่อไป จะได้เอาไว้ใช้ชั่วกาลปาวสาน จะได้มีให้ลูกหลานไว้เตือนสติ ให้ทุกคนก็หวังว่ามนุษย์โลกก็คงเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เพราะทุกคนได้ดึงที่ใจ มีน้ำหนึ่งใจเดียว มีความรักสามัคคี ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ ทวีปไหนให้มีความสามัคคีทั่วโลกใบนี้ ชีวิตของทุกคนจะได้อยู่เย็นเป็นสุข จะได้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามปกติ เหมือนคำดำรัสคำสั่งสอนขอพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นการสมมุติในครั้งนี้ก็ขอยุติลงเพียงเท่านี้  ก็ขอให้ทุกคนหันหน้าเข้าหาธรรมนั้นจงมีความสุข ความเจริญ ด้วยทุกประการ เพราะอานิสงค์ผู้เขียนนั้นได้เขียนมา ได้เล่ามานั้น ออกจากจิตจากใจไม่ได้หวังผลประโยชน์สิ่งใด สิ่งนั้น ๆ ก็เป็นอานิสงค์แก่ผู้อ่าน ให้เป็นอานิสงค์ผู้อ่าน แล้วก็เป็นอานิสงค์แก่ผู้ถือธรรม เป็นอานิสงค์แก่ผู้ระลึกดี ระลึกชอบ เป็นอานิสงค์แก่จิตแก่ใจ ของผู้อ่านด้วยความเคารพทุกประการเทอญ.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คำว่า "ยก" | Thai